อุบลฯจี้สปสช.รุกเข้าถึงชาวบ้าน ช่วยเหลือคนพิการ-เหยื่ออุบัติเหตุ

28 ส.ค. 2555 | อ่านแล้ว 604 ครั้ง

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 10 อุบลราชธานี ร่วมกับมูลนิธิประชาสังคมและเครือข่ายจัดการประชุมเวทีสมัชชาพิจารณ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อการรับฟังความคิดเห็นทั่วไป แบบมีส่วนร่วมของผู้ให้บริการและผู้รับบริการตามมาตรา18 (13) ประจำปี  2555 ครั้งที่ 3  ณ โรงพยาบาลเขื่องใน จ.อุบลราชธานี เพื่อเป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการด้านสุขภาพ  โดยมีตัวแทนผู้เข้าร่วมประมาณ  100  คน จาก  5  อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง  เขื่องใน  เหล่าเสือโก๊ก  ดอนมดแดง และม่วงสามสิบ

 

ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญในประเด็นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความเข้าใจในกลไกต่าง ๆ ของนโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยผู้เข้าเข้าร่วมเวทีส่วนมากเสนอว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ควรจะทำงานเชิงรุกในการเข้าหาประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทำความความเข้าใจและเป็นการประชาสัมพันธ์รายละเอียดของนโยบาย เช่น สิทธิการคุ้มครองดูแลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการรักษาทั้งกรณีของผู้รับและผู้ให้บริการ

 

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล ที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เขียนโครงการเพื่อขอรับงบประมาณมาสนับสนุนชุมชน ในเรื่องหลักประกันสุขภาพ แต่ก็มีบางท้องถิ่นที่ไม่ส่งโครงการเพื่อรับทุน เนื่องจากเห็นว่ายุ่งยาก และการทำงบประมาณจะต้องนำเงินจากท้องถิ่นเข้ามาสมทบ ดังนั้นท้องถิ่นบางแห่งจึงไม่ส่งโครงการ เนื่องจากเห็นว่า ต้องสมทบงบประมาณจากหน่วยงานตน จึงถือว่าทำให้ประชาชนขาดผลประโยชน์ในเรื่องดังกล่าว ที่สำคัญประชาชนส่วนมากไม่รู้ว่า มีกองทุนนี้ที่จะเข้ามาสนับสนุน จะรู้ก็เพียงผู้นำในระดับท้องถิ่นที่จะเป็นฝ่ายบริหารงบประมาณ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสปสช. ยังทำงานเชิงรุกในการอธิบายข้อมูลให้กับประชาชนในเรื่องสิทธิที่ควรรู้ต่างๆ ยังไม่เต็มที่  ดังนั้นน่าจะเป็นเรื่องดีหาก สปสช. เป็นฝ่ายรุกเข้าหาประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น

 

ในเรื่องสิทธิการคุ้มครองในระบบหลักประกันสุขภาพ อาจารย์กิ่งกาญจน์  สำนวนเย็น อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  ที่เข้าเวทีในฐานะนักวิชาการผู้สังเกตการณ์ กล่าวว่า ควรจะเปลี่ยนจากคำว่า “การคุ้มครอง” เป็น “การเยียวยา” เนื่องจากเห็นว่า การคุ้มครองมักจะมีขั้นที่ตอนยุ่งยาก เช่น อาจจะต้องมีการยื่นเรื่องฟ้องร้อง และพิจารณาที่เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งอาจจะใช้เวลานานกว่าจะได้รับสิทธิ์การคุ้มครอง  แต่ถ้าเป็นการเยียวยานั้นหมายความว่า พอได้รับอุบัติก็ให้มีการเยียวยาทันที โดยไม่ต้องฟ้องร้อง ซึ่งให้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างเร่งด่วน ที่จะทำให้ประชาชนได้รับสิทธิ์อย่างทันที

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งในเวทีได้เสนอว่าอยากให้มีการบริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่เฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุหรือผู้ป่วยที่มีอาการป่วยรุนแรงเท่านั้น  หากแต่รวมถึงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่เป็นผู้พิการที่อาจจะไม่ป่วยรุนแรงหรือได้รับอุบัติเหตุหากแต่เป็นผู้ที่มีขีดความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองได้ไม่มาก เช่น  คนตาบอด ผู้พิการแขนขา หรือ ผู้พิการลักษณะอื่น ๆ ซึ่งเดินทางไปมาลำบาก ก็ควรจะได้รับประโยชน์ในส่วนนี้ด้วย ซึ่งถ้าหากทำได้อย่างที่ว่า  ก็นับว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการที่จะสนับสนุนให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากนโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมากยิ่งขึ้น

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: