สารพัดประโยชน์กับ “ผ้าขาวม้า” โปรดักท์มหัศจรรย์ของคนไทย

 

สุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์: http://article.tcdcconnect.com 2 ส.ค. 2555


 

ร้อนจริงอะไรจริง… ร้อนเสียจนหน้าหนาวไม่กล้าหนาว… ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์ขอทำงานแบบไม่คิดโอที…

 

นี่แหละกระมังครับ คือการที่ธรรมชาติลงโทษเราในฐานะที่ทำลายสภาพแวดล้อมจนป่นปี้ (โดยมีประเทศมหาอำนาจอย่างจีน อเมริกา และสหภาพยุโรป ครองแชมป์อันดับหนึ่ง สอง และสาม ในการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศ ขณะที่ประเทศไทยเราก็ไม่ยอมน้อยหน้า ลอยลำติดอันดับ 24 ไปกับเขาด้วย) เอาล่ะ ก่อนที่คุณผู้อ่านจะงงกันไปใหญ่ แล้วถามว่านี่มันเกี่ยวกับ “ผ้าขาวม้า” ตรงไหน? ผมขอวกเข้าสู่เรื่องคลายร้อนกับของใกล้ตัวอย่างผ้าขาวม้าตรงนี้ละกันครับ (เล่นง่าย!)

 

ผ้าขาวม้า คือ ผ้าฝ้ายลายตารางสี่เหลี่ยม (บางที่ใช้ใยผ้าไหมในการทอ) เป็นของใช้ติดบ้านแต่ดั้งเดิมที่ทุกวันนี้เริ่มห่างหายไปจากชีวิตคนไทยแล้ว (โดยเฉพาะกับคนเมืองที่แปรใจไปหา “ผ้าขนหนู” กันหมด) แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่เชื่อว่า “ผ้าขาวม้า” จะตายไปจากสังคมไทยจริงๆ หรอก เพราะผ้าลายตารางชิ้นนี้มีประโยชน์ที่ซ่อนเร้นอยู่มากมาย ที่สำคัญเหมาะกับการใช้งานในสภาวะอากาศร้อนๆ อย่างบ้านเราเป็นนักหนา วันนี้ผมจึงขออนุญาตินำเรื่องสบายๆ แฝงแนวคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับผ้าขาวม้ามาแบ่งปันให้คุณผู้อ่านได้คิดตามกันครับ เผื่อว่าคุณจะนำไอเดียเล็กๆ พวกนี้ไปแตกหน่อต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ในอนาคตครับ

 

 

ผ้าขาวม้า เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ผ้าเคียนเอว (เคียน แปลว่า พัน ผูก คาด) เริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัยเชียงแสน ดังปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน อีกทั้งชาวไทยในสมัยอยุธยาก็นิยมใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง และอื่นๆ การใช้งานของผ้าขาวม้าเกิดขึ้นอย่างหลากหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากผ้าคาดเอวก็มาเป็นผ้าสำหรับห่ออาวุธ เก็บสัมภาระ (กลายเป็นกระเป๋า) ใช้ปูพื้น (กลายเป็นที่นั่ง ที่นอน) ใช้นุ่งอาบน้ำ เช็ดร่างกาย (ผ้าขนหนูดีดีนี่เอง) แม้ในปัจจุบันเราก็ยังเห็นเจ้าผ้าทอลายตารางสี่เหลี่ยมนี้ถูกนำมาออกแบบเป็นเสื้อเชิ้ตวัยรุ่นวางขายกันเกลื่อนเมือง

ขนาดทั่วไปของผ้าขาวม้าอยู่ที่ 2 ศอก (ความกว้าง) คูณ 3-4 ศอก (ความยาว) ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับความสูงของผู้ชายไทยทั่วไป โดยความกว้างที่ว่านี้จะยาวจากเอวไปจนถึงกลางลำแข้ง ในขณะที่ความยาวสามารถพันรอบเอวแล้วเหลือเศษออกมาเล็กน้อย สำหรับในท้องถิ่นแถบอีสาน ผ้าขาวม้าอาจจะเรียกว่า ผ้าแพร” ซึ่งส่วนใหญ่จะทอจาก “กี่ทอผ้า” โดยมีความยาวประมาณ 20-30 เมตรต่อการทอแต่ละครั้ง จากนั้นจะนำมาตัดลงให้เหลือผืนละ “หนึ่งวา” ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ผ้าแพรวา” ในขณะที่ทางภาคใต้จะเรียกว่า ผ้าซักอาบ อันสืบเนื่องมาจากประโยชน์หลักของตัวผ้าที่นิยมใช้กันในขณะอาบน้ำ

 

แม้ว่าผ้าขาวม้าจะเป็นของเก่าโบราณ แต่ก็มีพัฒนาการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ระยะการทอ จังหวะของการขึ้นลาย การเว้นระยะของช่องสี่เหลี่ยม รวมทั้งสีสรรที่ถูกปรับให้เข้ากับชีวิตสมัยใหม่มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ผ้าขาวม้าตาจัก ของกลุ่มทอผ้าบ้านหนองขาว จังหวัดกาญจนบุรี ที่ชาวบ้านได้ดัดแปลงเพิ่มสีสันความสดใสให้ตัวผ้า จนต่อมาได้ฉายาว่า “ผ้าขาวม้าร้อยสี อันเนื่องมาจากสีสันลวดลายที่แปลกตานี่เอง

 

 

อย่างไรก็ดี ผมมองว่าการเปลี่ยนรูปแบบของ “ผ้าทรงสี่เหลี่ยมธรรมดา” ให้กลายเป็น “ผลิตภัณฑ์” ที่ใช้สอยได้หลากหลาย น่าจะเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และเพิ่มคุณค่าให้กับ “ผ้าขาวม้า” ของไทยเราได้ ดังเช่นวันนี้ที่ผ้าขาวม้าได้กลายเป็นลายเสื้อสุดฮิตในตลาดแฟชั่นวัยรุ่น แต่นอกจากแค่เสื้อผ้าแล้ว ผมคิดว่าผ้าขาวม้ายังสามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีกมาก ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ในครัวเรือน, ผ้าคลุมโต๊ะ, กระเป๋าลดโลกร้อน, ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์, ตุ๊กตา และเปลนอนเด็ก เป็นต้น



 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: