เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ว่าพรรคภูมิใจไทยพร้อมเทคะแนนเสียง 2 ล้านเสียง เพื่อจะสนับสนุนการแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญว่า ตนคิดว่าหากมีการทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ มันคงไม่ใช่เรื่องที่พรรคไหนจะเทคะแนนให้ใครแต่เป็นเรื่องเจตนารมณ์ของประชาชนว่า หากเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาจากการทำรัฐประหารมันขัดจากหลักการเป็นประชาธิปไตยของประเทศ ประชาชนให้แก้เขาก็จะแสดงเจตนารมณ์
“หากยังมีพรรคการเมืองใดคิดว่าเป็นเจ้าของคะแนนเสียง ถือเจตนารมณ์ของประชาชนตายตัวเอาไว้ได้จะโยกซ้ายโยกขวายังไงได้ ผมว่ากำลังเข้าใจผิด ถ้าจะมีการทำประชามติทุกคะแนนที่ได้ และสนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญ นั่นเท่ากับเจ้าของอำนาจอธิปไตย เขาต้องการกติกาสูงสุดเป็นของประชาชน ไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยมีอยู่เท่าไหร่ พรรคนั้นมีอยู่เท่าไหร่ ใครจะเทให้ใคร ผมว่านั่นเป็นคนละความหมาย” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า หากการทำประชามติ ไม่ว่าจะก่อนแก้ไขหรือร่างเสร็จแล้วเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้วมีการเทคะแนนให้กัน ตนคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็ไม่น่าใช้ แต่ถ้าเป็นเจตนารมณ์บริสุทธิ์เกิดจากความรู้ความเข้าใจของประชาชน นั่นจึงเป็นกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองท่าทีของพรรคภูมิใจไทยอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เห็นตัวตนที่แท้จริงของแกนนำพรรคท่านก็ปฏิเสธ เพียงแต่ที่ปรากฎในสื่อสารมวลชนระบุว่า เป็นรายงานข่าว ตนจึงไม่แน่ใจว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ในชั้นนี้จะถือเอาท่าทีที่ปรากฎชัดจากแกนนำของพรรคว่าไม่มีเรื่องนี้ก่อน
เมื่อถามว่ามีความเห็นว่าควรที่จะลงมติในวาระสามทันที หรือให้ลงประชามติ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า จุดยืนของแต่ละฝ่ายในพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่าชัดเจนหมดแล้ว แต่เพียงในขณะนี้มีจุดร่วมกันก็คือ อยากจะให้เห็นคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญเสียก่อน ซึ่งตรงนี้ตนคิดว่าเป็นจุดร่วมที่คนทั้งประเทศรับได้ เพราะว่าเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมานั้นไม่มีสถานะเป็นคำตัดสิน แต่เหมือนเป็นคำแนะนำเหมือนเป็นการให้ความเห็น แต่ว่าเราต้องการดูว่าลายลักษณ์อักษรระบุอย่างไร ข้อกฎหมายข้ออธิบายในคำวินิจฉัยเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนั้นถ้าเห็นชัดแล้ว ก็คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะมาหารือกันในทุกๆ ส่วนอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่าความเคลื่อนไหวของพรรคภูมิใจไทย ในช่วงที่มีกระแสข่าวการปรับครม. ถ้าเกิดดึงพรรคภูมิใจไทยเข้ามาจะรับได้หรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนคิดว่าการปรับหรือไม่ปรับครม. เป็นดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี ตนเห็นว่าเสียงของรัฐบาลขณะนี้ ก็มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะบริหารประเทศตามนโยบายที่ประกาศไว้กับประชาชนได้ อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลที่ทำงานร่วมกันมาก็ไม่ได้ปรากฎว่าพรรคใดจะเป็นปัญหาต่อกันในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน เพราะฉะนั้นความเห็นส่วนตัวของตนนั้นเป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตามการปรับครม.หรือไม่ ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการคาดการณ์ตามสื่อมวลชน ยังไม่มีการปรากฎสัญญาณหรือท่าทีใดๆ จากนายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ