สภาพปัญหา
ไม่ได้พักผ่อน ทำงานหนัก และอุบัติเหตุ
เนื่องจากการนอนรวมกันบนเตียงสองชั้น ในห้องที่แน่นและอับ เพราะไม่มีการเปิดหน้าต่างกันเลย เนื่องด้วยอากาศหนาวเย็น ในขณะที่เวลานอนกันวันละไม่กี่ชั่วโมง และมักจะต้องออกจากแคมป์กับเพื่อนๆ เนื่องจากคนงาน 4-8 คน จะต้องแชร์รถยนต์คันเดียวกัน คนที่นอนหลับยากจึงจะมีปัญหาเรื่องเสียงและไฟรบกวนจากเพื่อนๆ ร่วมห้องได้
คนงานทุกคนจึงอยู่ในสภาพอิดโรย ส่วนใหญ่อาศัยนอนหลับระหว่างอยู่บนรถ แต่คนขับรถหลับไม่ได้ และก็เก็บเบอร์รี่เหมือนคนอื่นๆ เช่นกัน (คนขับรถจะได้รับสิทธิไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมัน)
การหาแหล่งเบอร์รี่ป่า คนขับทั้งหลายและลูกทีมจะต้องช่วยกันอ่านแผนที่ และขับรถตามแผนที่ตระเวนทั่วเขตป่าเขา ในรัศมีหลายร้อยตารางกิโลเมตร เพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ที่อยู่กระจายทั่วพื้นที่
ด้วยเหตุนี้ เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนจึงเกิดขึ้นทุกปี จนพิการ แขน ขาหัก ทั้งเนื่องจากการทำงานหนัก พักผ่อนน้อย จนคนขับหลับใน เผลอ หรือขับรถชนกวางและลีห์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่จะวิ่งข้ามถนนบ่อยๆ ในพื้นที่ป่าเหล่านั้น
ครอบครัวเกษตรกรฟินแลนด์ที่ภาคเหนือที่อยู่ใกล้แคมป์คนงาน ที่เราไปพักค้างคืนด้วย เล่าว่า รถคนงานขับชนรั้วบ้านเขาพัง แต่พอสอบถามคนงานก็ทราบว่า คนขับหลับในเพราะเมื่อคืนนอนเพียงสองชั่วโมง เขาไม่เอาเรื่องคนงาน และเล่าให้ฟังด้วยความสะท้อนใจว่า “พอหัวหน้าคนไทยเดินทางมาถึง แทนที่จะถามห่วงใยอาการของคนงาน กลับสนใจแต่รถว่าเสียหายแค่ไหน”
เกษตรกรฟินน์ครอบครัวนี้บอกว่า ดีใจที่มีคนงานมาเก็บเบอร์รี่ ทำให้เมืองไม่เงียบเหงา และพวกเขายังช่วยบริษัทที่มาเช่าโรงเรียนในชุมชนเป็นที่พักคนงาน ยกลังเบอร์รี่ลงจากรถเก็บไว้ที่แคมป์เพื่อรอรับคนงาน พร้อมทั้งบอกว่า สงสารคนงาน เพราะสภาพการดูแลและใส่ใจคนงานของบริษัทเหล่านี้ไม่ดีเท่าไร และบางคนในชุมชนที่เข้าใจ ก็พยายามไปเยี่ยมและพูดคุยกับคนงานแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง และก็หาโอกาสเจอคนงานยากมาก เนื่องจากคนงานจะออกจากแคมป์แต่มืดและกลับถึงแคมป์ดึก ไปหาตอนกลางวันก็ไม่เจอใคร
อาการเจ็บไข้ได้ป่วยโดยเฉพาะไอ ไข้ และปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
การทำงานที่ต้องเดินลุยหนอง ขึ้นเขา ข้ามเขา แบกถังเบอร์รี่ลงจากเขาบางครั้งก็หลายกิโลเมตร และในระหว่างเก็บต้องก้มๆ เงยๆ ตลอดทั้งวัน รวมทั้งอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น และฝนตกบ่อยๆ (โดยในเดือนแรกคนงานบอกว่า “ตกเกือบทุกวัน”) แต่พวกเขากลับสวมใส่เสื้อผ้าบาง ทั้งนี้คนงานบอกว่า “พอเริ่มเก็บเบอร์รี่มันก็จะร้อนแล้ว” ทำให้สภาพร่างกายต้องปรับเปลี่ยนอุณหภูมิตลอดเวลา คนงานจึงจะมีปัญหาปวดเมื่อยเนื้อตัวกันทุกคน และเป็นหวัด เป็นไข้ต่ำ ไอและจามกันมาก และถ้าคนหนึ่งเป็นก็จะลามติดคนงานคนอื่นๆ ได้ด้วยเพราะนอนห้องเดียวกัน
ทุกแคมป์ที่ไปเยี่ยม ไม่มีห้องปฐมพยาบาลหรือห้องพักคนงานที่ป่วยให้แยกไปนอน แม้จะมีคนงานเป็นร้อยคนก็ตาม ทำให้ไม่สามารถแยกคนป่วยออกจากคนงานทั่วไปได้ นอกจากส่งไปโรงพยาบาล ซึ่งก็มักจะไม่ใช่การนอนรักษาระยะยาว และไม่มีใครอยากนอนโรงพยาบาลเกิน 1 หรือ 2 วัน
นอกจากนี้คนงานที่ลุยเก็บหมากเหลืองก็จะเจอยุง โดนต่อยกันทุกคน ถ้าคนแพ้หน้าก็จะบวมเป่ง หรือขนาดต้องเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนการลื่นล้มเป็นเรื่องปกติของสภาพการทำงานที่เกือบทุกคนอาจจะต้องพบพาน
อีกปัญหาหนึ่งคือเรื่องบู๊ทกัดเท้า เพราะพวกเขาต้องสวมใส่รองเท้าบู๊ทเดินทั้งวัน ผ่านไปเดือนหนึ่งก็เท้าก็จะเริ่มระบมและเล็บขบ หรือเล็กหายเพราะการถูไถกับบู๊ทตลอดเวลา คนงานจำนวนไม่น้อย กลับบ้านด้วยสภาพเล็กเท้ากุด และใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการคืนสภาพเดิม
การกินยาปฏิชีวนะมากเกินไป
เนื่องจากการเจ็บป่วยถึงขนาดนอนพักเป็นเรื่องที่ไม่มีคนงานคนใดปรารถนา เพราะนอกจากไม่ได้เงินแล้ว ยังต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายประจำวันที่แคมป์ด้วย ทำให้คนงานทุกคนจะกินยากันมาก ทั้งยาแก้ไข้ แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวดท้อง และยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อแก้ปวดเมื่อย ที่หอบหิ้วกันมาจากเมืองไทยกัน กินเกือบทุกวันราวกับกินลูกอมตลอดฤดูกาล ไม่สบายก็จะเร่งกินยาหรือให้หมอฉีดยา เพื่อจะกลับไปเก็บเบอร์รี่ต่อ
ความเครียด
ไม่เก็บเบอร์รี่ 1 วันติดลบ 2,000-3,000 บาท
ความเครียดจึงเป็นเรื่องที่คนงานต้องอยู่กับมันตลอดเวลา บางแคมป์เข้มงวดมากขนาดไม่ส่งเสริมให้คนงานคุยกัน หรือไปเยี่ยมเยียนหากัน ส่วนใหญ่ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ คนงานบางคนจะแอบซื้อเบียร์และเหล้าวอดก้ามาแอบดื่มกัน ยิ่งถ้ายังเก็บไม่ได้มาก ทุกคนก็จะเครียดกันมาก คนงานบอกว่า “ไม่มีเวลาดูความสวยงามอะไรเลย นอกจากเห็นลูกเบอร์รี่เป็นเงินเท่านั้น”
มันเป็นสภาพการทำงาน 2 เดือนที่โหดร้ายป่าเถื่อนที่สุด เท่าที่ผู้เขียนเคยเห็นมา พวกเขาต้องทำงานตั้งแต่ตีสามตีสี่ จนถึงสี่ห้าทุ่มเกือบทุกวัน งานที่คนเก็บเบอร์รี่ที่ฟินแลนด์บอกว่า “โหดแต่มันเป็นงานของเราเอง”
นี่คือสภาพของ “นักท่องเที่ยวนายจ้างงานตัวเอง” ที่ระบุในคำนิยามของคนเก็บเบอร์รี่ชาวต่างชาติ ที่มาฟินแลนด์ แต่พวกเขาที่ไม่สามารถเป็นนายจ้างตัวเอง หรือเป็นนักท่องเที่ยวได้เลยแม้แต่วันเดียว (ยกเว้นก่อนกลับ จะมีการพาคนงานแวะดูเสื้อผ้ามือสองและซื้อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย (ซึ่งคนงานบอกว่าเป็นของแท้คุณภาพดีกว่าโนเกียที่ประเทศไทย)
คนงานส่วนใหญ่จะถูกนำจากสนามบิน ไปยังเขตเบอร์รี่ที่อยู่ทางตอนเหนือจากเมืองหลวงของสองประเทศหลายร้อยกิโลเมตร และถูกนำส่งสนามบิน โดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นโฉมหน้าสต๊อกโฮม เมืองหลวงของสวีเดน และเฮลซิงกิเมืองหลวงของฟินแลนด์ แม้แต่น้อย นอกจากเห็นผ่านทางกระจกรถยนต์
อาหารการกิน
การยืนกิน นั่งยองๆ กิน กินกันอย่างเร่งรีบ กินอาหารมื้อละอย่างหรืออย่างมาก 2 อย่าง อาศัยเหยาะพริกน้ำปลาไปเยอะๆ ก็กินกันได้แล้ว หรือกระทั่งเดินกินไปด้วย พร้อมเก็บเบอร์รี่ไปด้วย เป็นสภาพที่พวกเขาบอกว่าเรามาทำงาน ไม่ได้มากิน ต้องอดทนเอา
เรื่องอาหารก็เป็นปัญหามากเช่นกัน ทั้งเรื่องกินไม่เป็นเวลา กินอาหารซ้ำไปซ้ำมาไม่กี่ชนิดตลอดฤดูกาลส่วนมากทำจากไก่ ขาหมู แฮม ไข่ และผักไม่กี่ชนิด หลักๆ คือ กระหล่ำปลี แครอท แตงกวา และมันฝรั่ง และเนื่องจากคนงานต้องพกอาหารไปกินในป่าถึง 2 มื้อ คือมื้อเช้ากับมื้อเที่ยง กว่าจะได้กินกัน อาหารก็เย็นจัดแล้ว คนงานที่รู้จักสภาพป่า จึงหาอาหารเสริมจากเห็ดป่าและพุงสัตว์ที่ทิ้งไว้โดยคนล่าสัตว์ และก่อกองไฟต้มทำกันในป่า แต่การก่อกองไฟในป่าก็เป็นกฎข้อห้าม คนงานจึงต้องลักลอบทำกัน ถ้าแคมป์รู้ก็จะถูกตักเตือน หรืออีกวิธีการหนึ่งที่พอช่วยได้คือ การเอาน้ำร้อนจากแคมป์ใส่กระติกน้ำร้อนเอาไปชงมาม่ากินในป่า
คนงานส่วนใหญ่จึงจะมีน้ำหนักลดมาก ตั้งแต่ 2-3 ก.ก. ถึงขนาด 10-20 ก.ก. ทีเดียว สามีที่มากับภรรยา พูดแซวว่า “พาเมียมาลดน้ำหนัก ใครอยากให้ภรรยาลดน้ำหนักต้องพามาเก็บเบอร์รี่”
ความขัดแย้งกับคนท้องถิ่น
ที่ฟินแลนด์เนื่องจากอาหารป่าอันได้แก่ เบอร์รี่ป่า และเห็ดต่างๆ ถือเป็นทรัพย์สินสาธารณะ ที่ใครจะเก็บก็ได้ แต่เมื่อมีการจัดทำธุรกิจเพื่อเก็บอาหารป่าเหล่านี้ ความตึงเครียดและคำถามจึงเกิดขึ้นจากสาธารณชนต่อบริษัท และท่าที่ที่ไม่เป็นมิตรของคนฟินน์บางคน ก็เลยมายังคนเก็บเบอร์รี่ชาวไทยด้วย ที่ต้องเข้าพื้นที่ป่า และพื้นที่กวางเรนเดียร์ที่ทำคอกล้อมไว้หลวมๆ ทั่วพื้นที่
คนเก็บเบอร์รี่จึงต้องระวังท่าทีไม่เป็นมิตรทั้งหลาย และต้องอดทนและหลีกเลี่ยงการปะทะกับคนท้องถิ่น ความรุนแรงยังอยู่ในระดับ ถูกไล่ออกจากพื้นที่ ปล่อยยางรถยนต์ ให้หมาไล่ หรือยิงปืนขู่ แต่ไม่ใช่คนท้องถิ่นจะโหดร้ายกันทุกคน คนท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยก็รู้ว่าคนเก็บเบอร์รี่มาทำงานที่พวกเขาไม่ทำแล้ว และรู้สภาพความยากลำบากในงานนี้เป็นอย่างดี จึงส่งผ่านความห่วงใยและมิตรภาพมาให้กับคนงานไทย อีกทั้งยังทักทายและยิ้มให้ รวมทั้งให้คำแนะนำเรื่องเบอร์รี่บ้างก็มี
ในปี 2555 (ตามที่อ้างแล้วข้างบน) จึงมีการออกกฎที่คุมเข้มมากขึ้นเรื่องพื้นที่ที่ให้คนเก็บเบอร์รี่จากต่างชาติเข้าไปเก็บได้ ทั้งต้องอยู่ห่างจากบ้านเรือนชาวบ้าน ชุมชน ดูแลปิดรั้วเมื่อเข้าไปในพื้นที่ป่ากวางเรนเดียร์ และห้ามเก็บ cloud berry ซึ่งเป็นเบอร์รี่ที่คนท้องถิ่นเก็บกันมาก และราคาแพงที่สุด เป็นต้น
มายาภาพ
มีคนว่างงานที่สวีเดนและฟินแลนด์ประเทศละกว่า 300,000 คน ที่อยู่กินด้วยเงินว่างงานจากภาษี และที่ภาคเหนือของฟินแลนด์มีคนว่างงานถึง 25 % แต่ไม่มีใครยอมทำงานเก็บเบอร์ รี่ ต้องนำเข้าจากประเทศไทย ที่ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายแสนแพงเพื่อเงินไม่กี่หมื่นบาท หรือบางปีกว่าครึ่งต้องกลับบ้านมือเปล่า และต้องไปใช้หนี้นายหน้าที่กู้เงินต่ออีก
ไม่ใช่คนท้องถิ่นไม่ต้องการเก็บเบอร์รี่ แต่เมื่ออุตสาหกรรมกลายเป็นอุตสาหกรรมข้ามชาติ ผูกโยงกับกลไกตลาดโลก และพึ่งพิงคนงานต่างชาติในการเก็บ ราคาเบอร์รี่ถูกลงมาก จนคนท้องถิ่นบอกว่าไม่คุ้มค่าเหนื่อย ประกอบกับร้านค้ารับซื้อรายย่อยก็ปิดกิจการไปหมด เพราะสู้กับพ่อค้าเบอร์รี่ยักษ์ใหญ่ไม่ได้ สัดส่วนของเบอร์รี่ที่เก็บโดยคนท้องถิ่นในตลาดจึงลดลงเรื่อยๆ และสัดส่วนของเบอร์รี่ในอุตสาหกรรม ที่เก็บโดยคนไทยจึงสูงขึ้นจนถึงระดับ 80 % นับตั้งแต่ปี 2552
พวกตัวแทนที่ต้องพึ่งสายและคนเก็บเบอร์รี่เก่าในการช่วยหาคน จะดูแลเอาใจพวกสายและคนเก็บคนเก่ามากพอสมควร และจะให้พวกขาเก่าเดินทางก่อน 2 สัปดาห์ เพื่อเก็บหมากเหลือง (cloud berry) ซึ่งเป็นตัวที่ทำกำไร (และมีอายุเก็บแค่ 2 สัปดาห์) แต่ปีนี้ที่ฟินแลนด์ ห้ามคนไทยเก็บตัวนี้แล้ว (ผู้เขียนเจอกับแชมป์เก็บ cloud berry เจ้าถิ่นเมื่อปีที่แล้ว (2554) บอกว่า ถ้าเจอคนไทยมาเก็บหมากเหลืองในบริเวณใกล้เคียง ใครจะรับประกันว่าจะไม่มีอุบัติเหตุปืนลั่น)
เทคนิค กลโกง การปิดบังความจริง หรือพูดความจริงไม่หมด คือความเชี่ยวชาญของขบวนการค้าแรงงานไปทำงานต่างประเทศของไทย ต้องเป็นประเทศที่โหดร้ายและไม่รักประชาชนจริงๆ จึงยอมปล่อยให้คนของตัวเองมาถูกเอาเปรียบที่ต่างแดนมากมายเช่นนี้
คนงานเวียดนาม และคนงานจีน มาปีเดียวก็เข็ดประท้วงกันทั้งสองประเทศ เพราะคิดว่ามาเก็บเบอร์รี่ฟาร์ม แต่พอต้องมาเดินเก็บตามป่าและงานยากลำบากเช่นนั้น ก็ประท้วงกันทันทีถึงขนาดจับหัวหน้าแคมป์ขังและทุบตีทำร้าย นอกจากนี้พวกเขายังมีคดีหนีวีซ่าอยู่ยุโรปต่อด้วย ทำให้การขอวีซ่าจากจีนและเวียดนามเข้มงวดกว่าไทย และรัฐบาลของทั้งสองประเทศก็ไม่ส่งเสริม เพราะมีข่าวคนถูกหลอกจ่ายค่าบริการ และค่าใช้จ่ายสูงเกินไป กับการทำงานระยะสั้น
แต่นายหน้าและสายคนไทยเชี่ยวชาญกว่ามากเรื่องการทำ “ตลาดค้าฝัน” แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันหลายทอดจากสมาคมผู้ซื้อเบอร์รี่ มาสู่บริษัทเก็บเบอร์รี่ สู่ตัวแทนชาวไทย สู่สายและคนงานเก่า จนมาสู่เกษตรกรที่ราบสูง ที่ได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อนและการโฆษณาเกินจริง จนยอมเดินทางมาเก็บเบอร์รี่
มายาภาพที่ไม่เคยมีการสำรวจอย่างจริงจัง มีแต่เพียงคำพูดลมปากว่า “คนโน้นได้แสน คนนี้ได้หลายหมื่น” โดยไม่รู้ว่า “คนโน้น” “คนนี้” คือใคร และมีกี่คนกันแน่ ตามที่ประเมินจากการคุยกับผู้เสียหายหลายร้อยคน นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ต่างก็ประเมินว่าคนเสียหายมีมากกว่าครึ่ง
มายาภาพเรื่องมาทำงานประเทศที่ให้การคุ้มครองแรงงานสูง
กฎหมายแรงงาน กฎหมายการดูแลผู้ว่างงาน และระเบียบเกี่ยวกับการทำงานในประเทศสวีเดนและฟินแลนด์นั้น คุ้มครองประชากรของตัวเองสูงมากที่สุดในโลก และคนงานเกือบทั้งประเทศเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานต่างๆ สหภาพแรงงานจะมีทนายของตัวเองช่วยเหลือสมาชิก ฟ้องร้องนายจ้างกรณีถูกละเมิดสิทธิ ทำให้การคิดจะเอาเปรียบคนงานในประเทศตัวเองเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะถ้าคนงานนั้นเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
ธุรกิจเบอร์รี่ระยะสั้น ถ้าต้องการได้เบอร์รี่มาก และกำไรงาม จึงทำตามประเทศทั่วไปคือการนำคนงานต่างชาติเข้ามาเก็บ ซึ่งเป็นคนงานต่างชาติที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ดังนั้นการคุ้มครองสิทธิพวกเขาจึงถูกทำให้ยืดหยุ่นไปกับผลประโยชน์ของประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ ที่ได้กำไรจากอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตนี้ ที่เป็นอุตสาหกรรมที่จ่ายภาษีให้รัฐบาลที่นี่
ส.ส.คนหนึ่งที่เราไปพบที่ภาคเหนือของฟินแลนด์บอกว่า บริษัทเบอร์รี่คือผู้บริโภคไฟฟ้าสูงที่สุดในเมือง และจ่ายภาษีคิดเป็น 37 % ของภาษีที่จัดเก็บได้ในเมืองนั้น ที่ดูแลคนว่างงานถึง 25 % (เราทราบกันแล้วว่า 80 % ของเบอร์รี่ จัดเก็บโดยคนงานไทยที่ไม่ได้ประโยชน์จากภาษีเหล่านี้เลย)
ด้วยความซับซ้อนแห่งผลประโยชน์ที่ประเทศเบอร์รี่ได้รับ ทำให้ความคุ้มครองแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานแรงงานในประเทศเหล่านี้จำต้องยืดหยุ่นตามผลประโยชน์ไปด้วย ในช่วงการไปพบปะกับเกษตรกร และเยาวชนที่ภาคเหนือของฟินแลนด์ หลายคนสงสารคนงานและอยากช่วยเหลือคนงานไทย
ชั่วโมงการทำงานที่หายไปจากการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายที่สวีเดนและฟินแลนด์
ทำงานวันละ 12-20 ชั่วโมง ห้ามป่วย ป่วยห้ามพัก ถ้าต้องพักห้ามเกิน 1 วัน นี่คือวิถีการทำงานตลอดฤดูกาลเก็บเบอร์รี่
อาจจะเปรียบเทียบได้ว่าคนงานเหล่านี้ทำงานวันละ 2 กะ 3 กะ ตามชั่วโมงการทำงานปกติ 8 ชั่วโมงต่อกะ อย่างต่อเนื่องและยาวนานติดต่อกัน 2 เดือน
ลองนึกสภาพดูก็แล้วกันว่า พวกเขาจะมีสภาพเช่นไรในการทำงานที่ไม่ได้พักผ่อนเลยต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้!
ผู้เขียนได้พยายามนำเสนอเรื่องสภาพการทำงานตามจริง ของคนงานเบอร์รี่ที่รับฟังจากคนงานหลายร้อยคน และทำข้อมูลชั่วโมงการทำงานจริงของคนงานลอมโจ้แบร์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐจ่ายค่าทำงานล่วงเวลา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเงื่อนไขนี้ไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาจ้างงาน
มายาภาพเรื่องหอบเงินกลับบ้านกันไม่ไหว
ผู้ซื้อเบอร์รี่บอกว่า คนงานได้เงินเยอะมาก จนเกรงว่าจะหอบเงินกลับบ้านไม่ไหว
ฤดูกาลเบอร์รี่นั้นสั้นและต้องเก็บให้ได้มากที่สุด แน่นอนธุรกิจเบอร์รี่อยากได้เบอร์รี่มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ และไม่มีปัญหาในการซื้อเลย แต่นี่ไม่ใช่การเก็บเบอร์รี่ในฟาร์ม มันเป็นการเก็บในป่าที่เบอร์รี่อยู่กระจาย และจะมีดกเป็นจุดๆ แล้วแต่จะหาเจอกัน ดังนั้นรายได้จึงขึ้นอยู่กับโชค ฤดูกาลของปีนั้น และความพยายามทำงานต่อเนื่องได้ยาวนานของคนเก็บ
เมื่อประเมินจากข้อมูลได้รับจากคนงานที่พบ ทั้งจากการลงไปเยี่ยมที่ทั้งแคมป์ และที่บ้านในอีสาน พอจะสรุปกลุ่มคนที่ “ได้หรือเสีย” จากงานเก็บเบอร์รี่ดังนี้
1.กลุ่มที่ 1 ตัวแทนนายหน้าที่ได้รับใบรับรองจากบริษัทเบอร์รี่ให้ติดต่อกับสถานทูต เพื่อการทำเรื่องขอวีซ่าต่างๆ (ประมาณ 20-30 คน) จะได้ค่าบริการ ค่าเงินพิเศษต่างๆ และผลตอบแทนจากบริษัทเบอร์รี่ (ซึ่งไม่แน่ชัดว่ามีอะไรบ้าง เพราะทั้งบริษัทและตัวแทนต่างก็บอกว่า ไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยระหว่างกัน ราวกับเป็นการทำกิจกรรมการกุศลกันเลยทีเดียว)
2.กลุ่มที่ 2 ลูกทีมที่มาดูแลคนงานกับตัวแทนนายหน้า (แคมป์ละ 3-4 คน (หัวหน้าแคมป์ พ่อครัว/แม่ครัว ช่างยนต์ และคนชั่งเบอร์รี่หรือล่าม) มีรวมกันสองประเทศ น่าจะไม่ต่ำกว่า 100 คน จะได้เงินเหมาทั้งฤดูประมาณ 60,000-80,000 บาท ยกเว้นช่างที่อาจจะได้มากกว่านั้น)
3.กลุ่มที่ 3 สายและคนเก็บเก่า ถ้าหาคนงานมาได้เยอะ สายพวกนี้ก็จะลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวไปได้มาก ทำให้กลุ่มนี้อาจจะไม่ได้มากกว่าคนงานใหม่ หรือถ้าขาดทุนก็จะไม่ขาดมากนัก กลุ่มนี้น่าจะมีประมาณ 40 % ของคนงานเก็บเบอร์รี่ทั้งหมด (ประมาณ 2,000 คน)
4.กลุ่มที่ 4 คนเก็บใหม่ จะเปลี่ยนหน้ามาเรื่อยๆ ปีละประมาณ 60 % หรือปีละไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 คน เป็นกลุ่มเสี่ยง และส่วนใหญ่ก็จะมาครั้งเดียว ปีต่อมาก็จะหาเหยื่อจากชาวบ้านหมู่บ้านใหม่ไปเรื่อยๆ (เมื่อรวมตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มคนงานใหม่เหล่านี้น่าจะเป็นเกษตรกรที่อาจจะสูงถึง 20,000 คนทีเดียว ที่มาครั้งเดียวก็ตัดสินใจไม่มาอีกแล้ว)
5.กลุ่มคนเก็บที่มาด้วยตัวเอง ประมาณการไม่ได้ว่ามีเท่าไร แต่ไม่น่าจะต่ำกว่าฤดูกาลละ 2,000-3,000 คน ทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้บริษัทเบอร์รี่ทั้งสองประเทศจะมีตัวแทนในประเทศไทย โดยตัวแทนเหล่านี้จะทำเรื่องเจรจาโควต้า เจรจาเงินกู้จากผู้ปล่อยเงินกู้ในท้องถิ่น (ทั้งจากตำรวจ พ่อค้ารายใหญ่ ทำให้คนงานเบี้ยวยากมาก)
แก้งคร้อจุดใหญ่สุด (ตัวแทนอยู่ที่นี่กันหมด) จะเป็นจุดระดมเงินกู้ท้องถิ่น ให้คนมาเก็บเบอร์รี่ปีละหลายร้อยล้านบาท สายและคนเก่าเป็นคนที่ไปหาคนเป็นส่วนใหญ่ และมักไม่ให้ข้อมูลที่แท้จริง เพราะหวังหลอกให้คนมาเก็บเบอร์รี่กับตน ระบบการจัดการเมืองไทยจึงเป็นแบบนี้ ที่ทำให้หาคนป้อนอุตสาหกรรมเก็บเบอร์รี่ได้ตลอด ระบบนี้โยงใยมาเฟียท้องถิ่น และสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ที่กระทรวงแรงงาน สถานทูตสวีเดน ฟินแลนด์ และบริษัทเบอร์รี่ที่สวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีประมาณ 10 บริษัท
คนงานที่เสียหายจากเบอร์รี่ปี 2552 บอกว่า ได้กลับมาสามแสนคือ “แสนสาหัส แสนทุกข์ยาก และแสนลำบาก”
สรุป
จนบัดนี้คดีฟ้องร้องค่าเสียหายจากฤดูกาลปี 2552 ก็ยังไม่จบ คดีฟ้องร้องยังอยู่ในศาล และความเสียหายครั้งนั้นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่ต้องแบกรับกันเองในหมู่นักแสวงโชคเกษตรกรไทย (ดูสารคดี วิกฤติบลูเบอร์รี่ 2552)
ผลจากการร่วมต่อสู้กับคนทำงานต่างประเทศมายาวนาน การร่วมต่อสู้กับคนงานคนงานเก็บเบอร์รี่ร่วม 500 คน ในปี 2552 นำมาสู่การจัดตั้ง “สหภาพคนทำงานต่างประเทศ” เมื่อปี 2552 โดยที่จรรยา ยิ้มประเสริฐ ได้รับเลือกเป็นประธานสหภาพฯ แต่การประชุมใหญ่สหภาพคนทำงานต่างประเทศ ยังไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศไทย
เมื่อเห็นความละโมภของคนมากมาย กับอาหารสวรรค์ที่ธรรมชาติให้มา กับฤดูกาลอันแสนสั้นเพียงช่วงเวลา แค่ 2 เดือน และเห็นเกษตรกรไทยที่ไร้สวัสดิการสังคมใดๆ ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟแล้ว มันเศร้าสะเทือนใจยิ่งนัก
ภาพที่เห็นจากของอุตสาหกรรมเบอร์รี่ ได้เปิดเผยตัวตนแห่งความละโมภ เห็นแก่ตัว อย่างเข้มข้นที่สุดของคนจำนวนไม่น้อย ในระยะเวลาอันแสนสั้น และภายใต้ข้อจำกัดของธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด
จากการตระเวนเยี่ยมคนงานที่กลับบ้านใน 9 จังหวัดที่ภาคอีสานในปี 2552 และไปเยี่ยมคนงานที่ประเทศฟินแลนด์ใน 9 แคมป์ เมื่อปี 2553 ผู้เขียนมีข้อสรุปแบบไม่เกรงใจกระทรวงแรงงานและรัฐบาลไทยว่า
“ต้องเป็นประเทศที่ไม่รักคนของตัวเองแม้แต่น้อย จึงยอมให้เกษตรกร และคนยากคนจนในประเทศตัวเอง ระดมเงินออกจากอีสาน และประเทศไทยปีละหลายร้อยล้านบาท เพื่อมาสร้างกำไร และพัฒนาธุรกิจเบอร์รี่ในประเทศร่ำรวย เช่นสวีเดน และฟินแลนด์ โดยที่รัฐไทยแทบจะไม่มีมาตรการดูแลและต่อรองผลประโยชน์ให้คนของตัวเองเลย”
การต่อรองเพื่อคุ้มครองคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยกลับกระทำจากนักสหภาพ นักกิจกรรมฟินแลนด์ สวีเดน และไทย ที่ทนเห็นคนเก็บเบอร์รี่ชาวไทยถูกเอาเปรียบ ได้รับการปฏิบัติแย่กว่านักโทษ และทำงานราวกับทาสตลอดฤดูกาลนี้
การส่งออกแรงงานไปต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาความยากจน เป็นเรื่องยอมรับได้ และหลายประเทศ ทั้งเกาหลีใต้ ไต้หวัน โปร์แลนด์ ตุรกี ก็เป็นประเทศส่งออกแรงงานพร้อมๆ กับไทยในยุคปี 70’s แต่ทำไมประเทศเหล่านั้นสามารถพัฒนาและสร้างชาติได้ หลังจากต้องพึ่งพิงเงินจากแรงงานเพียงไม่นาน และก็หยุดการส่งออกแรงงาน หันกลับมาพัฒนาคุณภาพคนและคุณภาพแรงงานในประเทศ กลายเป็นประเทศส่งออกกนักธุรกิจแทน
แต่ไทยกว่า 40 ปีแล้วก็ยังไม่ยุติ ยิ่งเลวร้ายจนกลายเป็นประเทศต้นแบบของการพัฒนาธุรกิจค้าแรงงานข้ามชาติที่ “ผิดกฎหมาย” ให้ “ถูกกฎหมาย” อย่างเป็นล้ำเป็นสัน เป็นธุรกิจกินเปล่า บนการขูดรีดค่าบริการจากหยาดเหงื่อแรงงานคนงาน อย่างน้อย 40-50 % ของเงินเดือน ที่ประมาณการว่า จะได้ตามสัญญาจ้างงาน
ต้นตอที่แก้ไม่ได้เพราะมาเฟีย ข้าราชการจัดหางาน และนักการเมือง (โดยเฉพาะภาคอีสาน) ที่ร่ำรวยจากการหากินแบบนี้มามากกกว่า 40 ปี ยังไม่ยอมหยุดสร้างความมั่งคั่งบนความเจ็บปวดของคนอีสาน มีนักการเมืองอีสานคนใดบ้าง ที่ไม่โยงใยขบวนการค้าแรงงานไทยไปต่างประเทศ
จะตรวจสอบกันอย่างไรถึงความสัมพันธ์ของข้าราชการเก่าหรือระดับสูงของกระทรวงแรงงาน กับสายสัมพันธ์บริษัทจัดหางาน 200-300 บริษัท ที่ให้อนุญาตจัดหางาน พร้อมข้ออ้างเสมอต้นเสมอปลายว่า “กระทรวงไม่มีกำลังและศักยภาพในการจัดส่งแรงงานเอง” กระทรวงแรงงานในส่วนกรมการจัดหางาน มีเจ้าหน้าที่เยอะที่สุดหลายพันคน กลับไม่มีศักยภาพ …!?
จะแก้ปัญหาการถูกหลอกแรงงาน ต้องยุติการอนุญาตให้บริษัทจัดส่ง และใช้รูปแบบเจรจาแบบ “รัฐต่อรัฐ” ในทุกงานที่ต้องผ่านกระทรวงแรงงาน
วิธีการจัดการแรงงานแบบนักค้าแรงงานข้ามชาติของไทยเป็นเครื่องมือสำคัญ
เกือบทุกบริษัทรับซื้อเบอร์รี่ ไม่ได้จ้างคนฟินแลนด์แม้แต่คนเดียว ในการดูแลและอำนวยความสะดวกคนไทยตลอดฤดูกาล (ยกเว้นบริษัทหนึ่งที่บอกว่า จ้างคนฟินแลนด์หนึ่งคน ให้ทำงานควบคู่กับตัวแทนประเทศไทย) นอกนั้นถ้าไม่ใช่สามีชาวฟินน์หรือชาวสวีเดน กับภรรรยาคนไทย ดูแลจัดการแคมป์ตามมีตามชอบ ก็จะวางภาระการจัดการแคมป์ให้กับตัวแทน และลูกทีมที่ขนมาจากเมืองไทยทั้งสิ้น
แต่ตัวแทนเหล่านี้ก็คือนายหน้า ลูกทีมเกือบทุกคนก็คือคนตระเวนเชิญชวนคนมาเก็บเบอร์รี่ และเก็บค่าหัวคิว หลายคนเป็นคนปล่อยเงินกู้ให้คนเก็บเบอร์รี่ด้วย อำนาจการจัดการแคมป์หลังรอยยิ้มแบบไทย จึงเป็นกลไกที่สำคัญ ที่ทำให้คนเก็บเบอร์รี่ชาวไทยไม่กล้าแหกคอกเหมือนคนชาติอื่น และระดับการคุมคนงานจากตัวแทน สู่หัวหน้าแคมป์ สู่หัวหน้าคันรถ สู่คนเก็บเบอร์รี่ จึงมีพลังสูงมาก เป็นอำนาจที่กดทับอย่างเงียบงัน และไม่มีคนงานคนใดกล้ามีปากเสียง
อาหารจากสวรรค์ ที่ถูกกลไกทุนเสรีนิยมเห็นเป็นช่องทางค้ากำไรอย่างงาม เมื่อคนในประเทศแพงเกินไปกับการจ้างงานที่สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการรับซื้อจากคนในท้องถิ่น ในราคาที่ไม่สร้างแรงจูงใจมากพอให้คนท้องถิ่นเก็บเบอร์รี่มาขาย ก็เปรียบไม่ได้กับการทำตลาดค้าฝันกับคนจน ในประเทศโลกใต้ ที่เถ้าแก่เบอร์รี่บอกว่า “หอบเงินหมื่นเงินแสนกลับบ้านไม่ไหวแน่”
แน่นอนมีคนไทยได้ประโยชน์และไม่เสี่ยง โดยเฉพาะตัวแทนนายหน้า พนักงานดูแลคนงานตามแคมป์ต่างๆ สายที่หาคนมาได้เกินค่าเดินทาง คนงานเก่า และคนงานใหม่ที่เกาะกลุ่มอยู่กับคนงานเก่าที่เก่งๆ ประมาณการณ์ว่า คนกลุ่มนี้ที่มากันต่อเนื่องเกือบทุกปีหรือปีเว้นปี น่าจะประมาณ 2,000-3,000 คน แต่ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร และกำไรของพวกเขาอยู่บนความเสี่ยง และความเสียหายของเพื่อนร่วมชาติ คนเก็บเบอร์รี่ที่มาใหม่ และคนเก่าที่ตัดสินใจเลิกลา หลังจากมาครั้งสองครั้งแล้วได้ไม่คุ้มเหนื่อย ซึ่งเมื่อรวมกันตลอดหลายปีก็เป็นจำนวนหลายพันคนหรือกว่าหมื่นคนทีเดียว
อุตสาหกรรมเบอร์รี่ทำตลาดกับคนไทยในทุกระดับ โดย CEO ของทุกบริษัท เดินสายมาเมืองไทยเกือบทุกปี เพื่อมาขายฝันด้วยตัวเอง ทั้งตัวแทนนายหน้าส่งสายหลายสิบคน ไปตระเวนขายฝันยังทุกหมู่บ้าน ที่ชาวบ้านอยู่กันแบบซังกะตายในทุกฤดูร้อน ไร้น้ำทำการเกษตร
หมู่บ้านหนึ่งมีบทเรียนความล้มเหลว และไม่ไปอีกแล้ว ก็ตระเวนหาหมู่บ้านใหม่ต่อไป เมื่อคนในหลายพื้นที่ภาคอีสานไม่ค่อยสนใจขึ้นเรื่อยๆ ก็ขึ้นไปค้าฝันคนที่ภาคเหนือ และตอนนี้เริ่มลงไปเชิญชวนคนที่ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และภาคใต้ เมื่อเรื่องราวความสูญเสียหลายร้อยหลายพันแพร่กระจายออกไป นักค้าฝันก็อัดฉีดมากขึ้น กับเรื่องราวหลอกลวง รวมทั้งระดมเงินกู้กันขนานใหญ่ เพื่อใช้ลงทุนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าให้คนงาน
ในทุกฤดูเบอร์รี่ตัวแทนนายหน้าต้องระดมเงินกู้จากตำรวจ พ่อค้า และคนปล่อยเงินกู้ท้องถิ่น (รวมทั้งเงินส่งไปปล่อยกู้จากน้องสาวพี่สาวจากสวีเดนและฟินแลนด์) เพื่อนำพาคน 6,000-8,000 คน ไปสวีเดนและฟินแลนด์ เมื่อเฉลี่ยต่อหัว 70,000 บาท ก็เท่ากับขนเงิน 420-560 ล้านบาท ออกจากอีสานทุกฤดู เพื่อไปเสี่ยงโชคที่สวีเดนและฟินแลนด์ โดยเฉพาะชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี เพชรบูรณ์ และนครราชสีมา หลายร้อยล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเงินกู้อย่างน้อยร้อยละ 3 ทำกำไรกันอย่างเห็นๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2-3 เดือน
พวกนายทุนเงินกู้ได้เงินต้นและดอกเบี้ยคืนครบก่อนคนงาน
จากบทเรียนตลอดสองสามปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ 2552 ยอดเฉลี่ยเมื่อหักออกจากผู้เสียหาย คงเหลือเพียงนำเงินกลับเข้าประเทศคนละไม่ถึง 20,000 บาท เมื่อลองคำนวณคร่าวๆ คือ 120-160 กว่าล้านบาท โดยที่ 3 % จะถูกหักเป็นค่าดอกเบี้ย 13-17 ล้านบาท ทำให้นำเงินกลับสู่ครอบครัวอีสานต่อฤดูกาลโดยรวมแล้วอาจจะแค่ 120-150 ล้านบาท
แต่เกษตรกรที่รักของไทยเหล่านี้หลายพันคน ทำงานกันอย่างหนักจริง ทุกวัน เดินป่าเดินเขาวันละหลายสิบกิโลเมตร เก็บเบอร์รี่ป้อนอุตสาหกรรมเบอร์รี่เฉลี่ยคนละกว่า 2,000-3,000 กิโลกรัม ทำงานกันจนไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้และชื่นชมความเจริญ และความสวยงามของประเทศเจ้าบ้าน ไม่รู้สักนิดว่า ระบบดูแลประชาชนของประเทศนี้เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เคยมีการบอกเล่าให้คนงานฟังว่า คนของประเทศนี้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลดีเยี่ยมเช่นไร ทำให้แม้จะมีคนว่างงานประเทศละกว่า 300,000 คน แต่ก็ไม่มีใครสักคนยอมทำงานเก็บเบอร์รี่ ต้องมาระดมคนไทยไม่กี่พันคนไปเก็บ พร้อมค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายกันเองในอัตราสูงลิบลิ่ว
ทุกคนบอกเพียงอดทน ขยัน ห้ามขี้เกียจ ไม่มืดไม่กลับแคมป์
ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของเกษตรกรไทยจำนวนไม่น้อยถูกทำลายไปด้วยระยะเวลาอันนั้นนี้ ความเจ็บป่วยทางร่างกายจากการหักโหม ที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนับเดือน (แต่เขาก็ไม่มีเวลา เพราะเมื่อมาถึงไทยก็ลงเกี่ยวข้าวกันทันที) และทุกปีจะมีทั้งอุบัติเหตุและบางปีมีการเสียชีวิต
อาหารจากพระเจ้า ที่มาพร้อมกับฤดูกาลอันแสนสั้นและหฤโหด บีบเร่งให้ทุกผู้คนที่อยากได้ประโยชน์จากมัน อัดฉีดความละโมภไปกับฤดูกาล จนยอมทำงานหนักเจียนตายเช่นนี้
นายทุนและธุรกิจเบอร์รี่จะอยู่ได้ทั้งปีจากงานหนักเพียงสองสามเดือน และมีเบอร์รี่ในสต๊อกให้แปรรูปได้ปีหรือสองปีข้างหน้า แต่คนงานเก็บเบอร์รี่ที่ยอมทำงานหนักสองเดือน กลับไม่ได้มีหลักประกันว่า เงินที่ได้จะทำให้พวกเขาอยู่ได้ทั้งปีจากรายได้ มิหนำซ้ำต้องแบกรับความเสี่ยงและความเสียหายมากที่สุด และอาจจะต้องกลับมาใช้หนี้เป็นปีหรือหลายปี ด้วยสภาพการทำงานที่หฤโหด อยู่ด้วยความตึงเครียด และกดดันสูง รวมทั้งเรื่องราวความสูญเสียที่แพร่ะสะพัดไปทั่ว ณ ขณะนี้นอกจากคนไทยแล้ว ไม่มีใครยอมเก็บเบอร์รี่แบบถวายชีวิตเช่นคนไทย
คนฟินแลนด์พูดกับผู้เขียนบ่อยๆ ว่า “นักโทษในเรือนจำที่นี่ได้รับการปฏิบัติและดูแลดี ยิ่งกว่าคนงานไทยเสียอีก”
ธุรกิจเบอร์รี่เป็นที่รับรู้กันมากขึ้นเรื่อยๆว่า อยู่ในสภาพความกดดันสูง แต่มักจะมองมันในแง่ที่ว่า ความกดดันเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้คนงานเก็บเบอร์รี่ได้มากกกว่าคนชาติอื่นๆ ที่ไม่ต้องเจอกับแรงกดดันเรื่องค่าใช้จ่ายสูง เงินกู้และดอกเบี้ยมากเท่ากับคนงานไทย หรือคนที่เดินทางไปเก็บจากเอเชีย ดังนั้นธุรกิจนี้ มองความกดดันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ของอุตสาหกรรมเก็บเบอร์รี่ป่า (มองว่าฤดูกาลแค่สองเดือนกว่า ถ้าไม่เร่งเก็บก็เก็บไม่ได้มาก)
สุดท้ายความโลภ ก็เอาชนะความรู้สึกผิดชอบเรื่องสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน
คำแนะนำสำหรับผู้ที่เดินทางมาเก็บเบอร์รี่ปี 2555
เพื่อทำให้เรื่องเบอร์รี่มีตัวแปรแห่งความ “เฮง หรือ ซวย” ที่เกิดได้จากหลายด้าน ทั้งจากฤดูกาล โชคเจอดงเบอร์รี่ดก และความเพียรและอดทน และทำให้วิถึการพนันเสี่ยงมาเก็บเบอร์รี่ โดยเฉพาะที่ฟินแลนด์ ที่ยังเป็นระบบการเล่มไฮโล “แทงได้-แทงเสีย” อาจจะ “แทงแสนได้แสน” หรือ “แทงแสนเสียหายแสน” ไม่กลายเป็นทุกข์อันใหญ่หลวงของคนงานและครอบครัวที่เมืองไทย
เราไม่แนะนำให้ท่านเอาชีวิตมาเสี่ยงกับอุบัติเหตุ เสียสุขภาพจิต หรือเจ็บไข้ได้ป่วย จึงแนะนำว่า อย่าหักโหม ทำงานวันละไม่ต้องเกิน 12 ชั่วโมง นอนพักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่ทุกวัน หยุดวันอาทิตย์เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติและวิถีชีวิตของเจ้าบ้านคนท้องถิ่นบ้าง
สำหรับสวีเดน ท่านก็ไม่ต้องทำงานเกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง เพราะเงินเดือนที่ท่านได้รับคำนวณตามฐานการทำงานแค่สัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงเท่านั้น ใช้ช่วงวันหยุดเที่ยวดูเมือง พักผ่อน และนอนหลับให้เต็มที่
การกินยาปฏิชีวนะติดต่อยาวนานมีผลเสียกับตับไตมาก ขอให้ปรึกษาแพทย์เรื่องปริมาณการใช้ยาต่างๆ ก่อนซื้อยามาทานเอง
หญิงที่หวังมาหาแฟนคนต่างชาติ โอกาสเจอหนุ่มต่างชาติน้อยมากกว่าเจอหนุ่มชาวไทยในแคมป์เบอร์รี่ แทนที่จะได้หนุ่มต่างชาติ ท่านอาจจะโชคดีได้หนุ่มไทยกลับบ้านไปฝากครอบครัว
ขอให้ทำใจไว้ตั้งแต่ก่อนมาเลยว่า ถือว่าได้มาเมืองนอก ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เสียหายสักสามสี่หมื่นก็ถือว่ายังจ่ายเงินเที่ยวเมืองนอกถูกอยู่ เพื่อจะได้ไม่กดดันและเครียดและบีบให้ตัวเองทำงานราวกับทาส
ขอให้ทุกคนอย่าซวย และประสบแต่ความเฮงในปี 2555 !
หากเจอปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ ติดต่อสหภาพคนทำงานต่างประเทศ โดยอีเมลมาที่ ACT4DEM@gmai.com หรือโครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย + 66 (0)2 933 9492
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ