เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2555 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุมเชิงปฎิบัติการเพื่อผลักดันการส่งออกของประเทศ ปี 2555 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันให้จัดตั้งคณะทำงาน 6 ชุด ประกอบด้วย 1.คณะทำงานสำรวจอุปสรรคด้านกฎหมายและกฎระเบียบ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ทำหน้าที่รับผิดชอบและผลักดันให้เกิดการแก้ไขโดยเร็ว ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนการค้าไทย เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการส่งออก
2.คณะทำงานติดตามสถานการณ์ และการขับเคลื่อนการส่งออกไปยังยุโรป และนอกพื้นที่ยุโรป รวมถึงตลาดอาเซียน และเร่งผลักดันการเจรจาเอฟทีเอ ระหว่างอียูกับไทย 3.คณะทำงานดูแลรายกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้เข้าใจปัญหาและอุปสรรค ในการส่งออกเป็นรายอุตสาหกรรม 4.คณะทำงานด้านการค้าและการค้าชายแดน ดูแลการค้าในอาเซียน และให้เกิดฐานการผลิตตามแนวชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อศึกษาอุตสาหกรรมที่เพื่อนบ้านให้การส่งเสริมแต่ละชนิด
5.คณะทำงานดูแลตลาดเดิม เพื่อส่งเสริมให้มีความเข้มแข็ง เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกาเหนือ 6.คณะทำงานดูแลตลาดใหม่ เพื่อทำหน้าที่เจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น แอฟริกาใต้ ชิลี เปรู และกลุ่มประเทศ BRIC เช่น บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน ทั้งนี้ คณะทำงานทั้งหมดจะทำงานแบบบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน และจะกำหนดประเมินแผนการทำงานในระยะยาวด้วย
นายกิตติรัตน์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนเสนอขอให้ภาครัฐ เข้าไปช่วยดูแลการเข้าถึงแหล่งเงินทุนนั้น ขณะนี้ทางธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จะขยายการทำงานให้กว้างขึ้น โดยจะมาช่วยปล่อยสินเชื่อ ให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี เพื่อเสริมสภาพคล่องในวงเงินประมาณ 100,000 ล้านบาท และค้ำประกันการส่งออกอีก 40,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถพิจารณาเงินกู้เพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ รวมทั้งการต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่มการนำเข้าพลอยและอัญมณี โดยกรมศุลกากรจะต่ออายุให้ทันที
ส่วนกรณีที่ภาคเอกชนขอให้ชะลอการปรับขึ้นค่าแรงงานอีก รัฐบาลยืนยันว่าไม่มีนโยบายชะลอการปรับขึ้นค่าแรงอีกรอบในปีหน้า แต่จะหาทางช่วยพัฒนาเพิ่มศักยภาพ และประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานให้มากขึ้น โดยภาคเอกชนให้ความร่วมมือในการปรับขึ้นค่าแรงกฎหมายกำหนด
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ