คาปูอัส: เรือเชื่องช้า สายน้ำ ความเงียบ (บางเรื่องราวจากการเดินทางไปทำข่าวที่อินโดนีเซีย)

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล 6 ส.ค. 2555


เกือบเดือนที่ผมหายหน้าหายตาไปจากการผลิตข่าวให้แก่เว็บไซต์ TCIJ เพราะต้องเดินทางไปทำข่าวเกี่ยวกับแม่น้ำที่ปอนติอานัก เมืองหลวงของจังหวัดกาลิมันตันตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ตามพันธะผูกพันที่มีกับ South East Asia Press Alliance (SEAPA)

 

 

ครั้งแรกที่ผู้หลักผู้ใหญ่ใน TCIJ ถามว่าอยากไปประเทศอะไรในอาเซียน ผมเสียเวลาคิดไม่เกินอึดใจ ‘อินโดนีเซีย’ สารภาพแบบไม่อ้อมค้อมว่า ‘เที่ยว’ เป็นคำแรกที่ปรากฏตัวในสมองเนียนๆ ของผม อินโดนีเซียเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรเกือบ 300 ล้านคน รวมผืนดิน-ผืนน้ำแล้วใหญ่กว่าประเทศไทย 10 เท่า มีป่าฝนเขตร้อนและความหลากหลายทางชีวภาพอลังการไม่แพ้อเมริกาใต้และทวีปแอฟริกา ว่ากันว่า ถ้าตีกรอบเนื้อที่ป่า 25 เอเคอร์บนเกาะบอร์เนียว จะพบสิ่งมีชีวิตมากกว่าทวีปอเมริกาเหนือทั้งทวีป ความสมบูรณ์ของผืนป่าบวกกับการทอดตัวเป็นแนวเดียวกับเส้นศูนย์สูตร ทำให้อินโดนีเซียได้รับสมญานามว่า ‘เข็มขัดมรกตแห่งเส้นศูนย์สูตร’

 

ปอนติอานักอยู่บนเกาะบอร์เนียว เกาะใหญ่อันดับ 3 ของโลก มีมาเลเซียและบรูไนเป็นเพื่อนร่วมเกาะ ประเมินด้วยตาเปล่าจากแผนที่ แค่กาลิมันตันตะวันตกจังหวัดเดียวก็ใหญ่เท่าภาคอีสานเราทั้งภาคแล้วครับ ความมหึมาของมันทำให้จังหวัดใหญ่ๆ อย่างโคราชกลายเป็นอำเภอไปได้ในพริบตา

 

นอกจากความอลังการแล้ว ผมเป็นมนุษย์ที่ชอบความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงคิดเอาเองว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ไทย อินโดนีเซียน่าจะแตกต่างกว่า อีกทั้งประเด็นเขื่อนในแม่น้ำโขงและเขื่อนในประเทศพม่า ผมคาดการณ์ว่าต้องมีนักข่าวไทยที่รู้เรื่องดีกว่าผมเสนอประเด็นนี้อยู่แล้ว ผมเลยปลีกตัวไปทำเรื่องที่ไม่เคยรู้ เรื่องที่ไกลเนื้อไกลตัว อย่างน้อยถ้าเขียนข่าวออกมาไม่ดีก็ยังมีข้อแก้ตัวให้แถกไถได้บ้าง

 

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเดินทางครั้งนี้ได้ สปช.-สร้างเสริมประสบการณ์บางชนิด-ที่ผมไม่แน่ใจนัก ว่าเคยพบผ่านมันมาก่อนหน้านี้

 

.................

 

แม่น้ำคาปูอัสคือสายน้ำผู้เป็นเจ้าของเรื่องราว เป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย มีต้นน้ำอยู่ในผืนป่ายิ่งใหญ่ตอนกลางของเกาะบอร์เนียวที่ถูกเรียกขานอย่างงดงามว่า ‘หัวใจแห่งบอร์เนียว’ (Heart of Borneo) ผ่านการเดินทาง 1,143 กิโลเมตร สู่บ้านหลังสุดท้ายที่ทะเลชวาในกาลิมันตันตะวันตก

 

ผมเป็นคนว่ายน้ำไม่เป็นและหวาดกลัวเสมอยามต้องเดินทางทางน้ำ แต่เมื่อต้องเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำ มันก็เลี่ยงไม่ได้

 

เพื่อให้ได้ปากคำจากชาวบ้านในพื้นที่ ผมจำเป็นต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านปินัง ดาลัม และกัมปง บารู ริมฝั่งแม่น้ำคาปูอัส การเดินทางเริ่มต้นด้วยรถยนต์ที่ปอนติอานักไปต่อเรือที่สุไหงกากั๊บ เพื่อมุ่งหน้าสู่กัวลา การัง หมู่บ้านชาวประมงพื้นบ้านปากแม่น้ำคาปูอัส

 

ผมไม่เคยคิดว่านี่จะเป็นการเดินทางที่น่าหวาดเสียวที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เรือสปีดโบ๊ทที่คุณเดนนี่ เอ็นจีโอผู้ตามปัญหาเรื่องปาล์ม จ้างมา มัน-เล็ก-มาก ผมรำพึงในใจว่า เล็กไปหรือเปล่า ปกติจุได้ 4 คนรวมคนขับ แต่นี่ต้องบีบอัดลงไป 6 คน

 

เมื่อเรือเริ่มออกสู่แม่น้ำใหญ่ คุณลุงคนขับเรือก็เริ่มโชว์ความเก๋าของเฒ่าทะเล แทนที่จะนั่งขับดีๆ แกกลับยืนขึ้นเกาะกระจกหน้าเรือ มือซ้ายประคองพวงมาลัย บางทีก็ใช้แค่หัวเข่า เท้าขวาเหยียบคันเร่ง สายตาเพ่งมองผืนน้ำเบื้องหน้า กลายเป็นว่าชีวิตเปราะบางของผมต้องฝากไว้ในมือ เข่า และเท้า อย่างละข้าง กับสายตาคมกริบของเฒ่าเจนทะเลอย่างแก

 

ตอนอยู่ในแม่น้ำยังไม่เท่าไหร่ แม่น้ำไม่มีวิบากคลื่นเหมือนในทะเล แต่พอเรือเริ่มเข้าเขตทะเล คุณลุงแกนั่งลงขับตามปกติโดยไม่ลดความเร็ว เหมือนต้องการแสดงความชำนิชำนาญในอาชีพหรือไรไม่ทราบ แกวิ่งฝ่าแนวคลื่นแบบไม่เกรงกลัวท้องทะเล แรงคลื่นทำให้พาหนะของเรากระเด้งกระดอนชวนพรั่นพรึง คนอื่นๆ ต่างโห่ร้องให้กับความตื่นเต้น และคุณลุงก็ดูจะตอบสนองความตื่นเต้นนี้ด้วยการขับที่ฉวัดเฉวียนยิ่งกว่าเดิมและล้อเล่นกับแนวคลื่นยิ่งกว่าเก่า แต่ผมไม่ตื่นเต้นด้วย แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่กับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ผมรู้สึกกลัวจับใจ

 

ผมมาถึงกัวลา การัง ด้วยอาการปวดหัวและนิ้วมือข้างซ้ายอันเป็นผลจากการเกาะขอบเรือและเกร็งอย่างยาวนาน แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณความจัดเจนของคุณลุงที่ช่วยให้ชีวิตผมอยู่รอดปลอดภัย

 

...............

 

กัวรา กาลัง เป็นเพียงจุดพักที่เราจะจ้างเรือของคนท้องถิ่น เพื่อพาเราล่องทวนแม่น้ำคาปูอัสไปยังหมู่บ้านทั้งสองแห่งข้างต้น ก่อนมา คุณเดนนี่ขู่ผมว่าต้องมีคนท้องถิ่นนำทาง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีจระเข้ชุกชุม สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปโดยคิดว่าตัวเองเป็นจอมพราน-รพินทร์ ไพรวัลย์ อาจกลายเป็นอาหารว่างของลูกหลานชาละวันโดยไม่จำเป็น พวกเราได้เรือประมงของชาวบ้านขนาดพอเหมาะและเริ่มออกเดินทางตอนบ่ายสอง ผมต้องออกไปเผชิญหน้ากับทะเลอีกครั้ง คือการเผชิญหน้าที่ผมไม่มีวันชนะ

 

เรือเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ขนาดของมันบรรเทาความหวาดกลัวของผมได้พอสมควร แต่บ่อยครั้งที่มันต้องปะทะมวลคลื่นขนาดใหญ่ บางจังหวะ เรือมีอาการโคลงเคลงในองศาที่ค่อนข้างมากเกินไปในความรู้สึกของคนบกผู้ไม่คุ้นเคยเช่นผม แต่เห็นคุณน้าคนขับเรือ แกก็ขับไปนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นช่วยให้อุ่นใจและทำความเข้าใจศิลปะแห่งการขับเรือว่า  มันคือความปกติของเรือ เรือที่แข็งแรง เป็นคนละเรื่องกับความแข็งทื่อ ต้องโคลงเคลงและเหวี่ยงไหวได้ตามแรงผลักของน้ำ น้ำพยุงเรือได้พอๆ กับจมเรือ แต่น้ำก็ว่าของมันไปตามคลื่นลม ธรรมชาติไม่เคยอนุญาตให้มนุษย์เข้าแทรกแซง ที่เหลือคือหน้าที่ของคนขับเรือว่าจะควบคุมเรืออย่างไรให้น้ำช่วยพยุงเรือเอาไว้ เรือที่มุ่งหักหาญฝ่าปะทะแนวคลื่นและไม่โคลงเคลงเลยต่างหากที่สุ่มเสี่ยงจะถูกน้ำกลืนกินลงสู่ก้นบึ้ง

 

ผ่านอีกเกือบชั่วโมง 5 ชีวิตบนเรือเชื่องช้า-ผม ซาเฟียนทำหน้าที่ล่าม เดนนี่ คนขับเรือและผู้ช่วย-จึงได้ล่องลอยกลางแม่น้ำคาปูอัส ไม่มีคลื่นลูกโต มีเพียงคลื่นลูกเล็ก แนวไม้สองข้างทางที่ทอดตัวหนาทึบ และความสงบประหลาดกลางเสียงโครมครามของเครื่องยนต์เรือ เท่าที่ประสบการณ์ในชีวิตน้อยๆ และแสนสั้นของผมมอบให้ นี่คือการเดินทางบนเรือที่ยาวนานที่สุด กลางสายน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต่างแดน

 

ผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้-ถ้าคุณเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปในแม่น้ำ มีแต่เสียงเครื่องยนต์เรือดังกระหึ่ม ตั้งตารอคอย รอคอย และรอคอย คุณอาจพบว่าเวลาค่อยๆ ถูกหลงลืม หรืออาจบางที เวลาเองต่างหากที่ปล่อยเราเอาไว้ตามลำพัง-เราหยุดพักผ่อนคลายอิริยาบถครั้งแรกที่ท่าเรือของหมู่บ้านสุไหงเซลามัตครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินทางต่อ ระหว่างนี้เราพยายามหยุดหาเสบียงตามท่าเรือต่างๆ แต่ก็ไร้ผล เพราะบ้านเรือนปิดกันหมดแล้ว เราจึงต้องหิ้วท้องต่อไปจนกว่าจะถึงปีนังดาลัม ขณะที่ดวงตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ

 

...............

 

สำหรับผม การเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้ากลางแม่น้ำโบราณ กลางความสงบประหลาด กลางคำรามของเครื่องยนต์เรือ กลางความเงียบที่กระหึ่มยิ่งกว่า ในห้วงยามระหว่างกลางวันกับกลางคืน มันมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล แสงอาทิตย์ช่วยกลบเสียงความเงียบไม่ให้ดังรบกวน 5 ชีวิตบนเรือมากเกินไป แต่เมื่อแสงอาทิตย์ละลายหายเหือดก็ไม่มีอะไรคอยเหนี่ยวรั้งความเงียบไว้ได้อีก ดวงจันทร์ซีดจางลอยดวงเด่นเหนือน่านน้ำพอให้บางคนบนเรือคำนึง-รำพึงถึงอู่เหย้าเนานอนที่จากมา ความเงียบก็พลอยชักพาความฟุ้งซ่านเข้าผสมโรง

 

เพราะถูกข่มขวัญก่อนเดินทางเรื่องจระเข้ ห้วงยามที่เหม่อมองสายน้ำสีดำสนิท กว้างใหญ่ ทอดยาว บวกจินตนาการซุกซน ความหวั่นกลัวก็เคาะประตูเรียก ภาพจระเข้ยักษ์ปรากฏขึ้น มันลอยอ้อยอิ่งข้างเรือ เงียบกริบ เงียบอย่างโหดร้าย หางขนาดยักษ์ส่ายไหวนุ่มนวลเลือดเย็ด ติดตามเหยื่อโอชะอย่างไม่รีบร้อน เฝ้ารอจังหวะประหัตประหารชีวิตบนเรือ ...ผมรีบกล่อมความกลัวให้แน่นิ่งและสลัดภาพกวนอารมณ์นี้ออกไปทันที

 

‘เมื่อไหร่จะถึง’ คือคำถามที่เฝ้าถาม มันมีแหล่งกำเนิดจากความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายที่หมดสิทธิ์โต้แย้ง เพราะคุณไม่มีทางทำให้เรือวิ่งได้เร็วไปกว่านี้ พูดกันแบบเหนือจริง เวลาเหมือนแทบจะหยุดนิ่ง ไม่มีสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีสิ่งที่กำลังจะมาถึง บางอารมณ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรือกำลังล่องไหลไปข้างหน้า หรือจริงๆ แล้วหยุดนิ่งกับที่ แต่เป็นโลกกับแม่น้ำต่างหากที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ท้องเรือ

 

ความเหงาเป็นอาการทางอารมณ์แจมเจือความโรแมนติกและโหยหาความรักอย่างละนิดละหน่อยของมนุษย์ยุคสมาร์ทโฟน ทว่า มวลอากาศประหลาดล้ำของการเดินทางไม่ได้ก่อตัวเป็นความเหงา แต่มันเป็นความโดดเดี่ยว (Solitude) ที่เข้มข้น หนาหนัก ทึบตัน บีบตัวเราให้เล็กลงๆ กลายเป็นวัตถุลอยเคว้งคว้างกลางเอกภพแห่งความเงียบและความว่างเปล่า รอบกายล้วนถูกปกคลุมด้วยโทนสีดำ 5 ชีวิตบนเรือดูเหมือนจะทำแค่หายใจและเคลื่อนไหวเท่าที่จำเป็น บรรยากาศชวนให้ผมนึกถึงเอกนิยายยิ่งใหญ่ของกาเบรียล กาเซีย มาร์เกส-หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว (One Hundred Year of Solitude)

 

2 ทุ่ม เราจอดเรือที่ปีนัง ดาลัม เดินต่ออีกกิโลเมตรกว่าๆ ไปยังบ้านชาวบ้านที่จะใช้พักในคืนนี้ อาหารเย็นคือข้าวกับไข่เจียว ปลากระป๋อง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ณ วินาทีนั้น มันคืออาหารชั้นเลิศ พวกเราผ่านค่ำคืนไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลีย รุ่งขึ้น เราเดินแวะเวียนสัมภาษณ์ชาวบ้านเพื่อเก็บข้อมูล

 

เมื่อกลับมาที่เรือ เราพบว่าน้ำซึมเข้าเรือจึงต้องช่วยกันวิดน้ำออก ก่อนจะทวนสายน้ำคาปูอัสกลับขึ้นมาที่หมู่บ้านกัมปง บารู ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่มีปัญหากับบริษัทปาล์ม เราพบคุณลุงคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางกลับจากกรุงจาการ์ตา เพื่อไปร้องเรียนกับรัฐบาลส่วนกลาง กรณีที่ที่ดินของแกถูกบริษัทแย่งยึดไป โชคร้าย ขณะอยู่ที่กรุงจาการ์ตา คุณลุงเกิดล้มป่วยอันเป็นผลพวงจากความคับแค้นและความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่กรุงจาการ์ตา 2 คืน สำหรับชาวบ้านที่เปิดร้านขายของชำเล็กๆ 15 ล้านรูเปี๊ยะห์คือเงินที่แกต้องเสียไป ถือว่ามหาศาล แลกกับกระดาษปึกหนึ่งที่มีแผนที่ของบริษัทปาล์มที่มาแย่งที่ดินแกกับคำปลอบประโลมของเจ้าหน้าที่ที่บอกให้แก ‘ใจเย็นๆ’

 

เมื่อเสร็จสิ้นธุระที่กัมปง บารู ผมตัดสินใจเลือกล่องเรือตามแม่น้ำคาปูอัสกลับคืนสุไหงกากั๊บ เพื่อหลีกเลี่ยงการผจญภัยอันไม่จำเป็นและอาการปวดหัวจากการเสี่ยงชีวิตบนสปีดโบ๊ท

 

...............

 

ตั้งแต่ประมาณบ่าย 3 โมง เรือยังคงรักษาอัตราความเชื่องช้าไม่เสื่อมคลาย จนล่วงสู่เย็นย่ำ บรรยากาศเช่นเมื่อคืนก่อนค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง อีกสิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ แทบไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมาก เมื่อการเดินทางผ่านไปนานเข้าๆ ท่ามกลางราตรี บทสนทนาถูกแทนที่ด้วยความเงียบ ความเงียบกลายเป็นเสียงเดียวที่แข่งกับเสียงเครื่องยนต์เรือ ทุกคนต่างจ่อมจมอยู่ในอาณาเขตความเงียบของตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง ซึ่งจุดสุดท้ายของการสนทนากับตัวเองจะคลี่คลายอย่างไรก็มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่รู้

 

ความเงียบสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการครุ่นคิดและตั้งคำถาม ในยามที่เราตกอยู่ในห้วงความเงียบ เสียงที่ดังที่สุดก็คือเสียงในความคิดตัวเอง เพียงแต่ชีวิตอึกทึกในเมืองยากจะเปิดโอกาสให้เราได้ยิน

 

ผมยังรู้สึกด้วยว่า ไม่ว่าก่อนและหลังเดินทาง เราจะมีความรู้สึกหรือไม่ อย่างไร ต่อเพื่อนร่วมทางก็ตาม แต่เมื่อต้องลอยอยู่กลางน้ำร่วมกันยาวนานกลางความมืด มันเหมือนมีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นผูกรัดคนบนเรือไว้ด้วยกัน อีก 4 คนบนเรือคือสิ่งยืนยันว่า ผมไม่ได้อยู่ ณ จุดอันเป็นที่สุดของความโดดเดี่ยว แต่ยังมีชีวิตอื่นๆ ร่วมชะตากรรมเดียวกัน รั้งรอจุดหมายเหมือนๆ กัน ทำให้นึกถึงคำพังเพยไทยที่ว่า ‘ลงเรือลำเดียวกัน’ ...นั่นใช่เลย

 

พวกเรากลับถึงสุไหงกากั๊บอีกครั้งราวๆ 2 ทุ่ม และต่อรถกลับเข้าปอนติอานัก ผมรู้สึกกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง แต่การเดินทางได้ทิ้งแนวคลื่นมากมายไว้ในความทรงจำ

 

...คือสองคืนแห่งความโดดเดี่ยวอันยาวนาน

 

(อ่านข่าวผลกระทบจากการลงทุนธุรกิจปาล์มน้ำมันของบริษัทไทยในอินโดนีเซียได้ที่

-บุกสวนปาล์มอินโดฯ-ตัวการทำลายป่าฝน เร่งผลิตน้ำมัน50ล้านตัน-อ้างโลกต้องการ รัฐหนุนสร้างภาพลักษณ์-บรรษัทดังแห่ซื้อ www.tcijthai.com/TCIJ/view.php?ids=902

-ชำแหละปตท.ทุ่มพันล.ปลูกปาล์มอินโดฯ บริษัทร่วมทุนไล่กวาดฮุบที่ดินชาวบ้านอื้อ รุกพื้นที่ป่า-ก่อมลพิษ-ปลาหายจากแม่น้ำ www.tcijthai.com/TCIJ/view.php?ids=903

-ปตท.โต้สวนปาล์มอินโดฯไม่กระทบสวล. ต้องอยู่กับชุมชน30ปี-ตั้งเป้าผลิตปิโตรฯ ชาวบ้านยัน'รุกป่าจริง-สารเคมีเต็มแม่น้ำ' www.tcijthai.com/TCIJ/view.php?ids=906)

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: