‘หมอซินเธีย’แนะทางฟื้นพม่า พัฒนาการศึกษา-สาธารณสุข

5 มิ.ย. 2555 | อ่านแล้ว 2372 ครั้ง

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ศูนย์การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยชาวกะเหรี่ยง พม่าและผู้หลบหนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-พม่า คลีนิคแม่ตาว  อ.แม่สอด จ.ตาก พ.ญ.ซินเธีย หม่อง เจ้าของคลีนิคแม่ตาว และเจ้าของราลวัลแม็กไซไซ วิเคราะห์สถานการณ์และทิศทางการเปลี่ยนแปลงของประเทศพม่า ภายหลังจากที่นางอองซาน  ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยประเทศพม่า เดินทางมาเยี่ยมชาวพม่าในประเทศไทยว่า การมาเยี่ยมชาวพม่าในประเทศไทยของนางอองซาน ซูจี ครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญมาก เพราะแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศพม่า นางอองซานก็ต้องได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของแรงงานข้ามชาติ และผู้ลี้ภัยว่า ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากน้อยแค่ไหนอย่างไรบ้าง ซึ่งนางอองซานก็ได้เห็นสภาพความเป็นจริงด้วยตนเองแล้ว เนื่องจากว่าแม้สถานการณ์การเมืองในฝั่งพม่าจะดีขึ้น

 

แต่แนวโน้มของการเกิดสันติภาพอย่างแท้จริงของรัฐบาลพม่ากับชนกลุ่มน้อยที่มีอาณาเขตติดกับชายแดนประเทศไทย ก็ยังเป็นเพียงความหวังที่ไม่แน่ชัด โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ก็ไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการทางด้านสาธารณสุขและระบบสาธารณูปโภคที่ดีขึ้น รวมทั้งเด็กที่ไร้สัญชาติและพลัดพรากจากครอบครัว เพราะการสู้รบที่ยืดเยื้อมากว่าหกสิบปี

 

พ.ญ.ซินเธียกล่าวต่อว่า  สิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้วัดว่า การเมืองในประเทศพม่า มีการพัฒนาและมีความก้าวหน้าอย่างแท้จริงคือ การให้บริการขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนในประเทศ ทั้งในด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และการเข้าถึงระบบสาธารณูปโภค ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เรายังไม่เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลพม่าอย่างชัดเจน ถึงแม้รัฐบาลพม่าจะพยายามพัฒนาโรงพยาบาลในฝั่งจ.เมียวดีให้ดีขึ้น แต่ประชาชนจำนวนมากของประเทศพม่า ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงการรับการบริการจากโรงพยาบาลของรัฐ โดยสังเกตได้จากการที่ยังมีประชาชนพม่าเข้ามาใช้บริการกับแม่ตาวคลีนิคเป็นจำนวนมาก

 

จากสถิติการช่วยเหลือผู้คนจากประเทศพม่า ปี 2553-2554 แม่ตาวคลีนิคมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากถึง 5 เปอร์เซ็นต์ โดยในปี 2554 มีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการมากถึง 117,000 คน ในปีเดียวกันมีเด็กเกิดที่แม่ตาวคลีนิคมากถึง 3,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ในทุกๆ ปี ขณะที่โรงพยาบาลเมียวดีในฝั่งพม่ามีเด็กเกิดเพียงปีละ 1,200 คนเท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายปีที่จะสร้างพัฒนาให้ระบบสาธารณสุขและระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในประเทศพม่าดีขึ้น

พ.ญ.ซินเธียกล่าวว่า นอกจากปัญหาเรื่องระบบสาธารณสุขและระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแล้ว เรื่องของการจัดการศึกษาก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่ทำให้เด็กในฝั่งพม่าจำนวนมาก ต้องอพยพเข้ามายังฝั่งไทย เพราะในประเทศพม่าไม่มีระบบในการจัดการศึกษาอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กต้องเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ขึ้นไป ก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในฝั่งพม่าเป็นเงินจำนวนมาก

นอกจากนี้แล้วยังเกิดปรากฏการณ์เวนคืนที่ดิน โดยความไม่เต็มใจของชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของที่ เนื่องจากรัฐบาลพม่า ต้องการพัฒนาทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก รัฐบาลจึงเข้าไปยึดที่ดิน พร้อมบังคับให้ชาวบ้านออกจากที่ดินของตัวเอง ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องข้ามมาอยู่ที่ชายแดนของไทย ซึ่งการพัฒนาประเทศไม่ควรต้องผลักไสประชาชนออกมาจากชุมชนที่เขาอยู่ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง

 

“เราได้แต่หวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ของประเทศพม่าอย่างแท้จริง  และเราก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส และคนที่ทุกข์ยากต่อไป เพราะเชื่อว่ายังมีคนที่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์จากแม่ตาวคลีนิค เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในแง่บวกนั้นยังเกิดขึ้นเฉพาะในทางตอนกลางของพม่าเท่านั้น แต่ต้องใช้เวลานานกว่าการปฏิรูปการเมืองจะเข้าถึงประชาชนบริเวณชายแดน และมันจะยิ่งใช้เวลานานมากกว่านั้น ในการที่จะพัฒนาสาธารณูปโภคและกระจายลงไปสู่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม แม่ตาวคลีนิคในฐานะที่เป็นองค์กรที่บริหารจัดการโดยคนที่มาจากชุมชนต่างๆ ของประเทศพม่า ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ขณะเดียวกันหน้าที่ของรัฐบาลพม่าต่อจากนี้คือ ต้องสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า เขาจะได้รับการบริการเหมือนกับที่มาใช้บริการจากคลีนิคแม่ตาวของเรา” พ.ญ.ซินเธียกล่าว

 

พ.ญ.ซินเธียยังได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติที่รัฐบาลพม่าจะต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อนำไปสู่สันติภาพของประเทศพม่าอย่างแท้จริงคือ 1.รัฐบาลพม่าจะต้องมีการกู้และยุติการใช้กับระเบิด ในบริเวณพื้นที่ชายแดนของตนเอง เพื่อความปลอดภัยของประชาชน  2.ต้องมีข้อตกลงสันติภาพที่ได้รับความเคารพและยอมรับจากกลุ่มที่เกี่ยวข้อง 3.จะต้องพัฒนาให้การศึกษาเข้าถึงเด็กทุกคน เพื่อที่จะไม่ให้เด็กๆ ในฝั่งพม่า ต้องข้ามมาฝั่งไทยเพื่อมาเรียนหนังสือ และเด็กๆ ยังสามารถอยู่กับพ่อแม่ต่อไปในประเทศพม่าได้

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ www.ngthai.com

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: