เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 พ.ค.กลุ่มสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) 42 องค์กร อาทิ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.กสท. โทรคมนาคม กว่า 4,000 คน จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวันกรรมกรสากล 122 ปี 1 พ.ค.2555
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นกลุ่มต่างๆได้ตั้งขบวนที่มุมถนนหน้ารัฐสภา ก่อนจะเดินไปตามถ.ราชดำเนิน ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมเปิดการปราศรัยบนเวทีของผู้นำแรงงานกลุ่มต่างๆตลอดเส้นทาง ทั้งยังมีขบวนเพื่อสะท้อนปัญหาแรงงานด้วย เพื่อให้รัฐบาลสนใจผู้ใช้แรงงาน พร้อมทั้งอยากให้มีการจ่ายค่าแรง 500 บาทต่อวัน เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่พอค่าครองชีพ รวมทั้งให้มีการควบคุมราคาสินค้า อย่าให้นายทุนใช้โอกาสจากการขึ้นค่าแรงมาขึ้นราคาสินค้า
ต่อมาเวลา 11.00 น. ขบวนกลุ่มสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เดินมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยท่ามกลางอากาศร้อนจัด มีการร่วมถ่ายรูปบนฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ร้องเพลงมาร์ชแรงงาน พร้อมตั้งเวทีกรรมกรสากล จากนั้นมีการชูเจตนารมณ์ 3 ประสาน กรรมกร ชาวนา นักศึกษาปัญญาชน เพื่อประกาศเจตนารมณ์วันกรรมกรสากล ร่วมผลักดัน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ฉบับผู้ใช้แรงงาน
นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ประกาศในนามคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ถึงข้อเรียกร้องเร่งด่วน 4 ข้อ และข้อเรียกร้องที่แรงงานต้องติดตามจำนวน 9 ข้อ รวม 13 ข้อ ต่อรัฐบาลว่า ข้อเรียกร้องเร่งด่วน 1.รัฐต้องมีมาตรการลดค่าครองชีพแก่ประชาชนและผู้ใช้แรงงานโดยเร่งด่วน โดยมีมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาอาหาร ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร การสนับสนุนงบประมาณสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อการลดค่าครองชีพ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊สหุงต้ม การสนับสนุนงบประมาณแก่รถขนส่งมวลชนสาธารณะ รถเมล์ รถไฟ เรือโดยสาร ฯ ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพควรดำเนินการควบคู่กับนโยบายรัฐสวัสดิการ ในด้านการศึกษา ผู้สูงอายุ การสาธารณสุข สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
2.รัฐต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานที่ถูกละเมิดสิทธิแรงงาน สืบเนื่องมาจากวิกฤติการณ์อุทกภัยช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.2554 ผู้ใช้แรงงานจำนวนมากในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร นครปฐม และกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย แรงงานในระบบจ้างเหมาช่วง (Sub-contracting) แรงงานข้ามชาติ แรงงานในระบบ รวมทั้งแรงงานนอกระบบ ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การเลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย การตัดลดสวัสดิการ การสั่งย้ายให้ทำงานต่างพื้นที่ การปิดสถานประกอบการ รัฐจึงต้องมีมาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การช่วยเหลือเยียวยาจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายและค่าชดเชยตามกฎหมาย การจัดตั้งกองทุนเพื่อการสนับสนุนประกอบอาชีพ การแก้ไขกรณีประกันว่างงานให้สามารถใช้สิทธิในกรณีที่นายจ้างประกาศหยุดงาน
3.รัฐและรัฐสภาต้องสนับสนุนการปฏิรูประบบแรงงานสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดการคุ้มครองผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน ภายใต้หลักการที่สอดคล้องกับหลักอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อสร้างหลักประกันในสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและเจรจาต่อรอง การพัฒนากรอบคิดแรงงานสัมพันธ์ จากความสัมพันธ์แบบนายกับบ่าวไปสู่ หุ้นส่วนสังคมและเศรษฐกิจ และการมุ่งสร้างกระบวนการแรงงานสัมพันธ์เพื่อความเป็นธรรม
4.รัฐต้องแก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 แก้ไขฉบับที่ 4 พ.ศ.2550 มาตรา 9 (5) กลับไปใช้บทบัญญัติเดิม เนื่องจากลิดรอนสิทธิของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจและเป็นการเลือกปฏิบัติและขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ส่วนข้อเรียกร้องที่ติดตาม เนื่องจากเป็นข้อเรียกร้องเดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากภาครัฐ และเป็นข้อเรียกร้องเก่าที่ต้องการให้รัฐบาลชุดนี้แก้ไข มีทั้งหมด 9 ข้อ คือ 1.รัฐต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรองภายในปี พ.ศ.2555 เพื่อสร้างหลักประกันในสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง
2.รัฐและรัฐสภาต้องปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม และปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานระบบประกันสังคมให้เป็นอิสระ ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม โปร่งใสตรวจสอบได้ และจะต้องเร่งรัดนำ ร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับ 14,264 รายชื่อ เข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรโดยเร่งด่วน
3.รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน โดยกำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นค่าจ้างแรกเข้าที่มีรายได้พอเพียงเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ทั้งนี้ โครงสร้างค่าจ้างของแรงงานให้มีการปรับค่าจ้างทุกปี โดยคำนึงถึงค่าครองชีพ ทักษะฝีมือ และลักษณะงาน ทั้งนี้ รัฐจะต้องแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2554 ที่ให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของทุกจังหวัดไว้ที่วันละ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ในปี พ.ศ.2557 และปี พ.ศ. 2558
4.รัฐต้องยกเลิกการแปรรูปหรือการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ จัดตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในการให้บริการประชาชน 5.รัฐต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานในเขตพื้นที่สถานประกอบการใดๆ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้งและลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 6.รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิ์ การบังคับใช้พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 อย่างจริงจัง และเร่งจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ภายใต้การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน
7.รัฐต้องจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุน โดยให้นายจ้างและรัฐบาลสมทบเงินเข้ากองทุน เพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือเลิกกิจการไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผู้ใช้แรงงานควรมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากกองทุน รวมทั้งการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างได้ 8.รัฐต้องสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กหรือศูนย์พัฒนาเด็ก ให้แก่ผู้ใช้แรงงาน สอดคล้องกับวิถีชีวิตของแรงงาน ในบริเวณเขตพื้นที่อุตสาหกรรมหรือสถานที่ทำงาน และ 9.รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการคุ้มครองสิทธิแรงงาน และสวัสดิการสังคม เพื่อให้เกิดการเข้าถึงสิทธิ์ของแรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ