'นิติราษฎร์'เปิดถกแก้มาตรา112 ปชป.แนะควรดูบรรยากาศสังคม

28 เม.ย. 2555 | อ่านแล้ว 1309 ครั้ง

 

เมื่อวันที่ 28 เม.ย.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานสัมมนาวิชาการหัวข้อ “มาตรา 112 ข้อถกเถียงทางกฎหมาย สู่ข้อถกเถียงทางสังคม” เนื่องในงานรำลึก ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย โดยมีนักการเมือง และนักวิชาการด้านกฎหมาย เข้าร่วม

นางสาวิตรี สุขศรี หัวหน้าภาควิชากฎหมายกกฎหมายอาญาและอาชญวิทยา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฐานะผู้ดำเนินรายงาน กล่าวก่อนเริ่มสัมมนาว่า การเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตั้งแต่ปี 2550 มีมาแล้ว รวม 5 ฉบับ ได้แก่ ร่างแก้ไข เพิ่มเติมที่เสนอโดย นายพรเพชร วิชิตชลชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะ เสนอเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2550 , ร่างแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอโดย นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคและคณะ เมื่อปี 2551, ร่างแก้ไขของพรรคพลังประชาชน ที่เสนอโดยนายจุมพฎ บุญใหญ่ และคณะ เสนอเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2551, ร่างแก้ไขเพิ่มเติม ที่เสนอโดยนายสนอง เทพอักษรณรงค์ พรรคภูมิใจไทย และคณะ เสนอเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2552และ ร่างแก้ไขของคณะนิติราษฎร์ ที่เสนอเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2554

ด้านนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สามารถแก้ไขได้ แต่ต้องดูบรรยากาศและอารมณ์ของคนในสังคม อย่างไรก็ตามการเขียนกฎหมายมาตราดังกล่าวในประเทศไทย ไม่ได้แตกต่างจากหลักการคุ้มครองพระประมุขของประเทศอื่นๆ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยการห้ามหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพบางเรื่องเป็นสิ่งที่ทำได้ เช่น ประเทศมาเลเซีย ห้ามดูถูก ดูหมิ่นพระศาสดา หรือ ห้ามการรักร่วมเพศระหว่างบุคคลที่เป็นเพศเดียวกัน ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ห้ามบุคคลที่จะมีรักร่วมเพศกับเพศเดียวกัน ดังนั้นการจำกัดสิทธิบางเรื่องและจะมองว่าเป็นเรื่องผิด หรือถูกนั้น ควรพิจารณาถึงเรื่องวัฒนธรรม และศีลธรรมของประเทศนั้นๆ ด้วย สำหรับร่างแก้ไขมาตรา 112 ที่ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ เคยนำเสนอนั้น ตนไม่เคยเห็นมาก่อน และหากให้พิจารณาในเนื้อหาในเบื้องต้น ตนไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามการเสนอร่างแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าว ตนเข้าใจว่าไม่ใช่มติของพรรค

“ผมไม่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะการจะแก้ไขกฎหมายใด ควรคำนึงถึงประโยชน์ของสังคม ศีลธรรม วัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ ด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้ประเทศไทยเกิดความสับสนระหว่างความบกพร่องของกฎหมายและความบกพร่องของการบังคับใช้กฎหมาย สำหรับมาตรา 112 เช่นเดียวกันที่ไม่ได้มีความบกพร่องจากตัวกฎหมาย แต่เป็นเพราะระบบยุติธรรมที่มีฐานะเป็นผู้นำกฎหมายมาบังคับใช้มากกว่า” นายถาวรกล่าว

 

ทางด้าน นายสมชาย หอมละออ ฐานะกรรมการคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวในประเด็นการนำเสนอให้เพิ่มบทลงโทษสำหรับบุคคลที่กระทำความผิด ที่เข้าข่ายมาตรา 112 ว่า มองว่าปัญหาของ มาตรา 112 เกิดจากตัวบทกฎหมาย การบังคับใช้ และการตีความของศาล ดังนั้นตนขอเสนอร่างแก้ไขไว้ใน 2 ประเด็น คือ 1.โทษที่ได้รับ เพราะในร่างแก้ไขมาตราดังกล่าว ได้เขียนไว้ว่าอย่างต่ำ 3 ปี ทำให้ไม่เปิดโอกาสให้ศาลได้ใช้ดุลยพินิจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของคดี ที่ผ่านมา กรณีมีคนส่งข้อความ 1 ครั้ง และนำข้อความดังกล่าวไปอ่านออกอากาศทั่วโลก 1 ครั้งศาลก็จะตัดสินให้จำคุกไม่ต่ำกว่า 3 ปีเท่ากัน และ 2.ต้องเป็นคดีที่ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ ไปแจ้งความกับตำรวจ

นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเด็นความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นปัญหาความคาบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่สำคัญ ซึ่งเป็นปัญหามาตั้งแต่ปี 2475 และขณะนี้ยังคงอยู่ สำหรับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นเส้นแบ่งระหว่างองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและขอบเขตของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ สำหรับการแสดงความเห็นหรือเสรีภาพการแสดงออกนั้นในทางกฎหมายได้ระบุว่าต้องไม่ละเมิดบุคคลอื่นด้วย

ด้านนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฐานะแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวว่า บทบัญญัติของ มาตรา 112 เกี่ยวกับโทษนั้นขัดกับรัฐธรรมนูญ หากจะแก้ มาตรา 112 ต้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น โทษของการดูหมิ่นรัฐในต่างประเทศด้วย ยืนยันว่าการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ใช่ล้มเจ้า เพราะเป็นเพียงบทกฎหมายหนึ่งเท่านั้น และอยากให้การจัดเวทีแบบงานนี้อีก เพราะตนกล้าที่จะพูด ทั้งนี้การตีความกฎหมายที่กว้างก็ไม่ทำให้บุคคลรู้ชัดว่า แบบไหนเข้าข่ายหมิ่นอาฆาตมาดร้ายอย่างไร ขณะเดียวกันผู้พิพากษาก็อ่อนไหวในการตีความมาตรา 112 และห่วงการตีความกฎหมายเรื่องของพระมหากษัตริย์ที่ไม่มีความชัดเจน และต้องมีความคุ้มครองด้วย โดยหลักการการคุ้มครองเรื่องหมิ่นประมาท ต้องคุ้มครองในฐานะเป็นประมุขของรัฐ โดยต้องคุ้มครองพระมหากษัตริย์และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ซึ่งในต่างประเทศก็ไม่ได้มีการคุ้มครองราชินีและรัชทายาท สำหรับปัญหาเรื่องความมั่นคง ที่มีการกล่าวว่าเป็นความผิดว่าด้านความมั่นคงด้วยนั้น ต้องมีความระมัดระวังการกล่าวถึงความมั่นคงของรัฐ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยมีสาระที่ตรงกันคือ การเพิ่มโทษทางกฎหมายสำหรับผู้กระทำความผิด โดยของพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้โทษจำคุก 5-25 ปี ส่วนของภูมิใจไทย เสนอให้โทษจำคุก 7-15 ปี ส่วนร่างแก้ไขที่เสนอโดยนายจุมพฎระบุไว้ว่า ผู้ใดที่รู้เห็นการกระทำผิด มาตรา 112 แล้วไม่แจ้งความดำเนินคดี แต่กลับนำความไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนว่า มีความผิดดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อหวังผลทางการเมือง และทำให้บุคคลอื่นเสียชื่อเสีย ต้องได้รับโทษตามที่มาตรา 112 บัญญัติด้วย

 

ขอบคุณข่าวจาก คมชัดลึก

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: