เร่งสังคมไทยผุดพื้นที่สร้างสรรค์ หวังปรับสุขภาวะกาย-ใจให้ดีขึ้น

22 เม.ย. 2555 | อ่านแล้ว 456 ครั้ง

 

“พื้นที่สร้างสรรค์สำหรับการเรียนรู้” อาจเป็นคำที่ฟังดูเป็นนามธรรม ยากที่จะเข้าใจ หรือหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไรจึงจะก่อกำเนิดพื้นที่สร้างสรรค์ได้

รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บรรยายหัวข้อ “แนวคิดว่าด้วยพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน กรณีศึกษาตัวอย่างต่างประเทศ” ในงานฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย ครั้งที่ 2 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติไบเทค บางนา ว่า พื้นที่สร้างสรรค์ พื้นที่สุขภาวะหรือพื้นที่น่าอยู่คือ การสร้างพื้นที่ที่ทำให้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของชุมชนอย่างเข้าใจ และเป็นพื้นที่สำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่ม  สามารถสร้างความรู้สึกร่วมและก่อให้เกิดความผูกพันของชุมชน

ดร.วิลาสินีกล่าวถึงสาเหตุที่ต้องพัฒนาและสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ว่า จากการพิจารณาสถิตย้อนหลัง พบว่า เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ เรื่องสุขภาพกาย และสุขภาพใจ  โดยคนไทยกว่าร้อยละ 35 มีภาวะโรคอ้วน  ร้อยละ 25 อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน และอีกกว่าร้อยละ 60 ออกกำลังกายต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะคนในเขตเมือง ประกอบกับโรคเรื้อรังกำลังทำร้ายคนไทย  ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจมากถึงร้อยละ 65 และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การพัฒนาทางกายและสุขภาพจิตค่อนข้างต่ำ

จึงควรต้องเร่งหาทางออก ซึ่งหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่ดี คือการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ เนื่องจากมีข้อค้นพบว่า หากเด็ก หรือคนในชุมชนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็จะนำไปสู่การพัฒนาการที่ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

ดร.วิลาสินีกล่าวต่อว่า การสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ ทำสำเร็จแล้วในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยเองควรจะนำมาเป็นต้นแบบเพื่อก่อกำเนิด เช่น เมืองโบกาตา ประเทศอาร์เจนตินา อดีตเคยเป็นพื้นที่อันดับต้นๆ ของการเกิดอาชญากรรม แต่เมื่อนายกเทศมนตรีริเริ่มการปิดถนนสายหลัก และชักจูงให้คนในท้องถิ่นมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเต็มที่ เช่น ออกกำลังกาย สร้างสวนสาธารณะที่ไม่กีดกันชนชั้น ทำให้เมืองที่มีสุขภาวะต่ำ กลายเป็นเมืองที่มีการพัฒนาจนได้รับการยกย่องจากสหประชาชาติ

นอกจากนี้ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ที่อดีตเต็มไปด้วยพื้นที่ทางด่วน และถนน  ซึ่งในความเป็นจริงยิ่งสร้างเท่าใดก็คงไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้เกิดแนวคิดเปลี่ยนสภาพกลายเป็นธรรมชาติ จนทำให้เกิดคุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดปริมาณฝุ่นละออง ลดจำนวนรถยนต์ เพิ่มความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ และผลสุดท้ายคือ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน  แต่ทั้งนี้กว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ ย่อมต้องอาศัยเวลา และสิ่งสำคัญที่สุดจะสำเร็จได้ คงต้องขึ้นอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย

 

“การสร้างพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับการเรียนรู้ในประเทศไทย แม้เพิ่งก่อร่างได้เพียงไม่กี่ปี แต่ก็มีแนวโน้มที่ดี และเกิดขึ้นในหลายพื้นที่แล้ว โดยอาศัยหลักการใหญ่คือ เอาคนเป็นที่ตั้ง โดยศึกษาว่าคนต้องการอะไร คิดแบบบูรณาการโดยหลอมรวมผู้เชี่ยวชาญ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มาเปิดโต๊ะเจรจา ปรับทัศนคติ และใช้พื้นที่เป็นตัวสนับสนุนช่วยส่งเสริมให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการส่งเสริม และเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปในทางที่ดี ทั้งยังเกิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” ดร.วิลาสินีกล่าว

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: