ผลการเลือกตั้งซ่อมในพม่าเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2555 ที่ปรากฎว่าพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือเอ็นแอลดีของอองซานซูจีได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นถึง 43 จากที่ส่ง 44 และจากทั้งหมด 45 ที่นั่งในสนามครั้งนี้ ทำให้หลายคนเกิดความหวังอย่างมากว่า พม่าคงจะเปลี่ยนไปสู่โลกใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว และนั่นหมายความว่าผลการปฎิรูปการเมืองในประเทศนี้สำฤทธิ์ผล
ชัยชนะของอองซานซูจีตีความได้สองอย่าง ประการแรก เป็นความเรียกร้องต้องการของชาวพม่าจริงๆที่ต้องการจะเห็นบทบาททางการเมืองอย่างเป็นทางการของเธอและพรรคเอ็นแอลดี ภาพที่ออกมาส่วนใหญ่ไม่ว่าจะผ่านการรายงานของใครจะปรากฎออกมาในทำนองที่ว่า ประชาชนชาวพม่าลงคะแนนเพื่อสั่งสอนให้รัฐบาลที่ทหารหนุนหลังเห็นว่า พวกเขาต้องการสิ่งนี้ ไม่ใช่รัฐบาลทหารในเสื้อคลุมพลเรือน ชาวพม่าหลายคนพูดเช่นนั้น ดอว์ จิน เมียะ (Daw Kyin Mya) วัย 87 ปีในเขตมะยางกอน บอกว่าเธอเพิ่งจะเคยออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต ถึงแม้จะอยู่ดูโลกมานานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เคยเลือกตั้ง คราวก่อนที่มีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2553 ก็ไม่ได้ออกมาใช้สิทธิ ด้วยเหตุผลที่ง่ายนิดเดียว เพราะอองซานซูจีและพรรคเอ็นแอลดีไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเลยไม่รู้จะเลือกใคร
มาคราวนี้ก็ตั้งใจเลือกอองซานซูจีโดยเฉพาะ และผลก็ปรากฎว่าอองซานซูจีชนะการเลือกตั้งจริงๆ ถามใครต่อใครที่ออกมาเลือกตั้งก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มาเลือกอองซานซูจี แม้แต่ในกรุงเนปิดอว์ พรรคเอ็นแอลดีก็กวาดที่นั่งทั้งหมดไปจนเกลี้ยง
ประการที่สองอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ ผลการเลือกตั้งแบบนี้อาจจะเป็นความจงใจของรัฐบาลให้มันเป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะรัฐบาลต้องการบรรลุเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น คือ ต้องการทำให้ประเทศตะวันตกเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิยุติธรรมและจะเป็นปัจจัยสำคัญให้รัฐบาลประเทศตะวันตกตัดสินใจยกเลิกการคว่ำบาตร
มีเหตุผลสนับสนุนแนวทางที่สองนี้ไม่น้อยเช่นกัน กล่าวคือ ที่นั่ง 43 ที่นั่งหรือต่อให้ทั้งหมดที่เหลือในการเลือกตั้งซ่อมในคราวนี้เป็นของอองซานซูจีและพรรคเอ็นแอลดี มันก็ไม่มีความหมายอะไรเลยในรัฐสภาซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ของที่นั่ง 664 ที่นั่งนั้นอยู่ในมือรัฐบาลบวกกับโควต้าของกองทัพซึ่งแน่นอนว่าสนับสนุนรัฐบาล แปลว่าอองซานซูจีทำอะไรในสภาไม่ได้เลย ต่อให้รวมกับพรรคเล็กพรรคน้อยตอนนี้มีอยู่ 138 เสียง รวมแล้ว 181 ที่นั่ง ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ยกตัวอย่างหากต้องการจะแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องใช้ถึง 2/3 ก็ทำไม่ได้แน่นอน รัฐบาลที่มีทหารหนุนหลังก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัว ในความหมายนี้ รัฐบาลได้ย้ายที่คุมขังของอองซานซูจีจากบ้านริมทะเลสาปมาไว้ที่รัฐสภากรุงเนปิดอว์เรียบร้อยแล้ว
ใครๆก็รู้ว่าพลังอองซานซูจีนั้นอยู่นอกสภา ไม่ได้อยู่ในสภา การจับให้เธอเข้าสภาเท่ากับพยายามทำให้เธอสละอำนาจที่แท้จริง มาเล่นในเกมที่ทางการขีดเอาไว้ให้แล้วเท่านั้น อองซานซูจีจะอ้างเสียงของประชาชนได้เกินกว่าคนอื่นๆที่รับเลือกตั้งมาเหมือนกันได้อย่างไร ส.ส. มีเสียง 1 เสียงเท่ากันทุกคนไม่ว่าจะได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเท่าใดก็ตาม
อีกอย่างหนึ่งการเลือกตั้งซ่อมคราวนี้ดูเหมือนพรรค Union Solidarity and Development Party (USDP) ของรัฐบาลก็ดูไม่ได้ต่อสู้อะไรอย่างเต็มที่นักแม้ว่าจะส่งผู้สมัครลงครบทุกเขตเลือกตั้ง แต่เท่าที่เห็นไม่ปรากฎว่าพรรครัฐบาลกระตือรือร้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้เท่าใดนัก ถ้าเปรียบเทียบกับผู้สมัครของเอ็นแอลดี ราวกับว่าพวกเขารู้ผลการเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วด้วยซ้ำไปว่ามันจะต้องออกมาเป็นเช่นนี้
แปลว่าจริงๆแล้วทุกคนอยากให้อองซานซูจีและพรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งซ่อมในคราวนี้เพื่อบอกว่าประเทศพม่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว การเลือกตั้งคราวนี้เปิดให้มีผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศ เปิดให้ผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศเข้าไปทำข่าวได้ แม้จะระยะเวลาสั้นๆแค่จากวันที่ 29 มีนาคม – 3 เมษายน ก็ไม่มีใครบ่นสักเท่าใด ทุกคนต่างเต็มใจเข้าไปช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับการเลือกตั้งว่า มีการเปิดกว้าง โปร่งใส เสรี และ เป็นธรรมอย่างเพียงพอ รัฐบาลพม่าไม่มีอะไรปิดบังเลย พวกนักข่าวอยากไปไหนก็ได้ อยากจะดูอะไรก็ได้ แม้ว่าปราฎว่ามีนักข่าวจำนวนไม่น้อยเดินทางเข้าประเทศพม่าด้วยวีซ่าประเภทอื่นๆที่ไม่ใช่วีซ่านักข่าว ก็ไม่เห็นมีใครเอาเรื่องหรือปิดกั้นไม่ให้พวกเขาเข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด
แน่นอนมีเสียงบ่นกระปอดกระแปดบ้างว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการเลือกตั้งบางเขต เช่นพรรคเอ็นแอลดีบ่นว่าในเขตเลือกตั้งใน มิงกาลาตวงยุน นั้นบัญชีผู้สมัครของกรรมการเลือกตั้งไม่ตรงกับที่พรรคฯมีอยู่ หรือ มีการเอาชื่อคนตายมาใส่บัญชี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางคนถูกคัดชื่อไปอยู่เขตอื่น แต่ทว่าเสียงบ่นประเภทนี้ดูไม่ค่อยจริงจังมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับชัยชนะที่พรรคเอ็นแอลดีได้รับมา และเอาเข้าจริงแล้ว คงไม่มีใครสนใจปัญหานี้อีกแล้ว เพราะทุกคนได้สิ่งที่ต้องการแล้วคือ ชัยชนะของเอ็นแอลดีมากกว่า กระบวนการในการเลือกตั้งดูจะเป็นรองเสียแล้วในตอนนี้
ว่ากันตามตรง ดูเหมือนผลการเลือกตั้งซ่อมนั้นได้มีการคาดหมายกันเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว ทุกคนอยากให้อองซานซูจีและพรรคเอ็นแอลดีชนะ แม้แต่รัฐบาลก็อยากเห็นชัยชนะของอองซานซูจี เพราะถ้าพรรคเอ็นแอลดีแพ้ หมายความว่าคนพร้อมจะชี้หน้าด่ารัฐบาลอยู่แล้วว่าโกง
ผลการเลือกตั้งออกมาในลักษณะนี้ ดูเหมือนจะทำให้ทุกฝ่ายสมประโยชน์สมประสงค์กันถ้วนหน้า รัฐบาลได้รับคำชื่นชมยินดีจากทั่วโลกว่าจัดการเลือกตั้งได้เรียบร้อยดี สะอาด โปร่งใส พรรคเอ็นแอลดีและโดยเฉพาะอองซานซูจีได้มีโอกาสเข้าไปนั่งในสภาอันทรงเกียรติเป็นครั้งแรก ผู้เลือกตั้งก็ได้เลือกพรรคการเมืองที่พวกเขาชื่นชอบ บรรดาประเทศตะวันตกที่อยากจะยกเลิกการคว่ำบาตรและเข้าไปทำธุรกิจในพม่าแข่งกันจีนเสียทีก็ได้ ข้ออ้างและโอกาสอันดีที่จะตัดสินใจและยังได้คุยอีกว่าเพราะมาตรการของพวกเขานั่นเองพม่าจึงมาถึงวันนี้ได้
บรรดานักวิเคราะห์ก็เสนอผลการวิเคราะห์อย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า พรรคเอ็นแอลดีและประชาชนพม่าได้สั่งสอนรัฐบาลพม่าและทหารพม่าอย่างเต็มที่เหมือนที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้แล้ว และพวกเขายังได้สำทับอีกว่า อีก 3 ปีข้างหน้าเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้ง ถ้ายังปล่อยให้อองซานซูจีเดินแบบนี้ต่อไป ทหารพม่าหนาวแน่
ก็ไม่แน่นักว่าอะไรๆมันจะดูง่ายๆขนาดนั้น คนที่ไม่สบายใจกับผลการเลือกตั้งแบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย บรรดาผู้คร่ำหวอดในวงการของพม่าต่างวิตกว่า ผลการเลือกตั้งแบบนี้คือการแสดงว่าโอกาสในการสมานฉันและปรองดองในพม่าคงจะยังไม่เกิด หมายความว่าผู้สนับสนุนอองซานซูจีและเอ็นแอลดี จะมีความคาดหวังและมั่นใจในอำนาจของพรรคเขามากถึงขนาดจะผลักดันการโค่นอำนาจทหารกันเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นปฏิกิริยาของฝ่ายทหารจะรุนแรง เพราะเขายังแกร่งอยู่มาก และถ้าปฏิกิริยาของกองทัพรุนแรงพวกเขาก็ไม่ประนีประนอมเช่นกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นการต่อสู้รอบใหม่ก็เกิดขึ้น การเมืองพม่าก็กลับไปที่เดิม ปราบปรามประชาชนรุนแรง กักบริเวณอองซานซูจีอีก
สิ่งที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายแนะนำคือ อองซานซูจี นั่นเองแหละที่จะต้องมองหาทางประนีประนอมกับอำนาจทหารและรัฐบาลที่ทหารหนุนหลังเพื่อประคับประคองให้การปฏิรูปการเมืองค่อยๆดำเนินไป และหาทางถอยที่สวยงามให้กับกองทัพ ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถอยออกไปจากการเมืองเลยแม้แต่น้อย
คนอีกกลุ่มหนึ่งที่วิตกกังวลกับผลการเลือกตั้งซ่อมแบบนี้คือบรรดาชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย แม้ว่าจะต่อสู้กับทหารพม่าเหมือนกันแต่ความสัมพันธ์ของพรรคชนกลุ่มน้อยกับเอ็นแอลดีไม่ได้อบอุ่นเท่าไหร่นัก หลายคนรู้สึกว่า อองซานซูจีและเอ็นแอลดี ไม่เคยเห็นหัวของพวกเขาเลย จริงๆแล้วพรรคเอ็นแอลดีก็ไม่ต่างจากพรรครัฐบาลเท่าไหร่ ถ้ามีโอกาสจะกินรวบก็จะรวบให้ได้เหมือนกัน พรรคเอ็นแอลดี ก็เหมือนกับพรรครัฐบาลคือส่งผู้สมัครไปในเขตฐานที่มั่นของชนกลุ่มน้อยทั้งหลายเหมือนกันหมด ไม่สนใจจะฟังเสียงร้องขอของพวกเขาว่า ให้ตกลงแบ่งเขตกันไม่ส่งผู้สมัครเข้ามาตัดโอกาสของพวกเขาที่เป็นชนกลุ่มน้อย เหมือนอย่างที่พวกพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหลายทำกันในเวลานี้ พวกเขารวมกันเป็นพันธมิตรพรรคพี่น้องรวมกันในสภาได้ 138 เสียง พวกเขาไม่ส่งผู้สมัครลงตัดคะแนนกันเองแต่จะเปิดโอกาสให้พรรคที่มีโอกาสชนะมากกว่าลงแทน และมีความหวังลึกๆว่าเอ็นแอลดีจะมารวมกลุ่มด้วย แต่ดูเหมือนอองซานซูจีและเอ็นแอลดีไม่สนใจ พวกเขาทำตัวเป็นพรรคเมืองใหญ่อีกพรรคหนึ่งในการเมืองพม่า ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่
สถานการณ์แบบนี้ อาจจะทำให้เอ็นแอลดี ถูกโดดเดี่ยวอีกและนั่นก็ทำให้ง่ายต่อการถูกทำลายได้อีกด้วยเช่นกัน พรรคเอ็นแอลดี แม้ว่าจะมีประวัติการต่อสู้ยาวนานนับแต่การเลือกตั้งปี 1990 และอองซานซูจี ในปัจจุบันก็มีบารมีมาก คนสนับสนุนเธอท่วมท้นราวกับมีอิทธิฤทธิ์ คนที่อยู่ใกล้ชิดเธอออกไปในแนวบูชาเธอมากกว่าจะเห็นเป็นผู้นำทางการเมืองทั่วไป สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีนักสำหรับสถาบันการเมือง เพราะสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีไม่สนใจจะสร้างฐานทางการเมืองให้กับพรรค หากแต่คอยอุ้มชูอองซานซูจีและอาศัยบารมีชื่อเสียงของเธอเท่านั้นเอง วันนี้ยังมีซูจีก็ดีไป วันข้างหน้าหากไม่มีเธอเสียแล้ว พรรคเอ็นแอลดีอาจจะไม่มีอะไรเหลือเลยก็เป็นได้
การเมืองในเอเชียส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่าระบบอยู่แล้ว การเมืองของพม่าตอนนี้ก็ตอกย้ำสภาพแบบนี้ด้วยเช่นกัน และมันก็จะเกิดปัญหาทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล เพราะสถาบันไม่เข็มแข็งพอจะรองรับความเปลี่ยนแปลงได้ สุดท้ายก็พัง
แต่ข้างฝ่ายทหารนั้นได้พยายามสร้างความเป็นสถาบันเอาไว้ในการเมืองอย่างชัดเจนตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาการเปลี่ยนผ่านจากตันฉ่วย มาเป็นเต็งเส่ง จึงดูราบรื่นและเดินต่อไปได้ตามแนวทางที่ได้วางเอาไว้ มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ในการเมืองในพม่าได้อีกนาน ไม่ว่าใครจะอยู่ในอำนาจก็ตาม
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ