เมื่อวันที่ 11 มี.ค. น.พ.หทัย ชิตานนท์ หัวหน้าคณะนักวิจัยการควบคุมยาสูบ ในฐานะประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย และอดีตประธานรัฐภาคีกฎหมายบุหรี่โลก (2550-2551) ขององค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า ตนพร้อมคณะนักวิจัยการควบคุมยาสูบ องค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชน 53 คน ร่วมลงนามทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเข้ายื่นต่อสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เรียกร้องขอให้พิจารณาดำเนินคดีกับ บริษัท ฟิลลิปมอร์ริส (ประเทศไทย) จำกัด กรณีแจ้งราคานำเข้าบุหรี่มวนต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้ประเทศไทยขาดรายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าสูงถึง 68,000 ล้านบาท และขอให้เร่งรัดไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม รื้อฟื้นส่งดำเนินคดีใหม่อีกครั้ง เพื่อประโยชน์ทางการคลังของประเทศ ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เคยจัดส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานอัยการและมีคำสั่งไม่ฟ้อง
“ผลสอบสวนคณะกรรมการฯ ที่แต่งตั้งโดยดีเอสไอ พบหลักฐานชี้ว่าราคาบุหรี่ที่นำเข้าโดยบริษัทบุหรี่รายนี้ มีต้นทุนสูงกว่าราคาที่สำแดงต่อกรมสรรพสามิต รวมไปถึงราคาขายในประเทศอื่นๆ ที่สูงกว่า ดังนั้นควรมีการเปิดเผยข้อมูลผลการสอบสวนที่ผ่านมาให้สาธารณะรับทราบถึงเหตุผลที่ไม่สามารถสั่งฟ้องได้” น.พ.หทัยกล่าวและว่า ทั้งหมดนี้คงต้องรอคำตอบจากนายกรัฐมนตรีภายหลังเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งหากรัฐบาลไม่ดำเนินการต่อ คงจะร่วมกับภาคีเครือข่ายในการรณรงค์บอยคอตไม่ซื้อบุหรี่จากบริษัทบุหรี่ข้ามชาตินี้
น.พ.หทัยกล่าวว่า รัฐบาลควรปรับวิธีจัดเก็บภาษียาสูบใหม่ เพื่อไม่ให้ประเทศเสียประโยชน์ ทั้งนี้ปัจจุบันกรมสรรพสามิตเก็บภาษีจากราคาหน้าโรงงานที่บริษัทบุหรี่นำเข้า หรือผลิตในประเทศเป็นผู้สำแดง โดยบริษัทบุหรี่ข้ามชาติสำแดงราคาเพียงซองละ 7.60 บาท แต่ราคาขายสูงถึง 70-80 บาท ขณะที่บริษัทบุหรี่ในประเทศสำแดงราคาหน้าโรงงานซองละ 25 บาท ราคาขาย 35-40 บาทเท่านั้น สะท้อนถึงการสำแดงข้อมูลราคาเป็นเท็จ เพื่อหลบเลี่ยงภาษีซึ่งทำมานาน ที่ผ่านมาจึงมีข้อเสนอการจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่จากกลุ่มนักวิชาการควบคุมยาสูบ คือ 1.กำหนดอัตราภาษียาสูบแบบตายตัว เช่น จัดเก็บอัตราซองละ 40 บาท ทั้งหมด ไม่ว่าบุหรี่นำเข้าหรือผลิตในประเทศ และ 2.จัดเก็บโดยคำนวณภาษีจากราคาขายขายปลีก ซึ่งทางที่ดีควรใช้ทั้ง 2 วิธีในการจัดเก็บควบคู่กัน และควรปรับขึ้นอัตราภาษีอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ หลังจากอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) จำกัด นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ออกมาแถลงข่าว เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2554 ที่ผ่านมา มีความเห็นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) จำกัด กรณีที่กรมศุลกากรมีหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษกับดีเอสไอให้ดำเนินคดีกับบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ประเทศไทย จำกัด โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันสำแดงราคาอันเป็นเท็จในการนำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร และ แอลแอนด์เอ็ม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเสียหายกว่า 68,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดได้เงียบหายไป
สำหรับคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากระหว่างวันที่ 28 ก.ค.2546-20 ก.พ.2550 บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) จำกัด นำเข้าบุหรี่จากประเทศฟิลิปปินส์ ตามที่สำแดงไว้ในการขนสินค้า 292 ฉบับ ซึ่งพบว่ามีการสำแดงราคาสินค้าบุหรี่ต่ำกว่าความเป็นจริง และทำให้ค่าภาษีอากรต่างๆ ซึ่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องนายจรณชัย ศัลยพงษ์ ผู้ต้องหากับพวกรวม 14 ราย และส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานอัยการพิเศษ เพื่อพิจารณาตามข้อกฎหมาย
ต่อมานายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นต่าง คือ สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 14 ราย ทุกข้อกล่าวหา และส่งสำนวนกลับมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาว่าจะมีความเห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวหรือไม่
จากนั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานในการนำเข้าสินค้าบุหรี่ของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) จำกัด โดยการสำแดงราคาสินค้าบุหรี่เป็นเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ในราคาคงที่ ที่เป็นราคาตายตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ทั้งที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีการเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวกับต้นทุนราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบถึงความสัมพันธ์กันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งพฤติการณ์ต่างๆ เป็นเหตุสนับสนุนให้น่าเชื่อว่าราคาที่สำแดงไม่ใช่ราคาที่ซื้อขายกันจริง
อีกทั้งคดีดังกล่าวเป็นคดีสำคัญที่มีผลเกี่ยวพันต่อระบบการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลไทย ซึ่งองค์กรการค้าโลก (WTO) ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทขององค์กรการค้าโลก ได้วินิจฉัยว่า ไทยปฏิบัติไม่สอดคล้องตามข้อตกลงว่าด้วยการประเมินราคาศุลกากร (GATT) ซึ่งคดีนี้หากมีความเห็นไม่แย้งกับคำสั่งของพนักงานอัยการ อาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ดังนั้น เมื่อพิจารณาแล้วจึงเห็นควรยืนยันความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด ตามความเห็นของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ