โวย‘อุทยานเขานัน’ไล่ชาวบ้าน-อ้างรุกป่า พ่อเฒ่ายันอยู่มาตั้งแต่พ่อแม่เกือบ100ปี หลักฐานชัดประกาศทับสวนยาง-ผลไม้ วอนผู้ว่าฯนครศรีฯ-ตั้งกก.สอบแนวเขต

วันชัย พุทธทอง ศูนย์ข่าว TCIJ 2 มี.ค. 2555 | อ่านแล้ว 1471 ครั้ง

 

แผ่นกระดาษเคลือบด้วยถุงพลาสติก ถูกนำมาติดไว้ตามต้นไม้ใหญ่หลายจุด ในที่ดินทำกินของชาวบ้าน เป็น หนังสือประกาศทางราชการ ของอุทยานแห่งชาติเขานัน หมู่ 8 ต.ตลิ่งชัน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ระบุ เลขที่ ทส 0915.503/1142 จ.นครศรีธรรมราช สั่งให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระทำความผิดพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 รื้อถอนสวนยางพารา อันเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านบ้านเขาโพธิ์ หมู่ 9 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ออกภายในวันที่ 26 มี.ค.2555 ลงชื่อ นายวิวัฒน์ ขุนฤทธิ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขานัน สร้างความฉงนใจและรู้สึกสูญเสียให้กับชาวบ้านที่ทำกินในพื้นที่ดังกล่าวมายาวนานไม่น้อย

 

 

 

 

 

อุทยานฯเขานันประกาศทับที่ดินชาวบ้าน

 

นายชัยโย เพชรพุทธ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านเขาโพธิ์  ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช กล่าวถึง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ขณะนี้ลูกบ้าน 50 กว่าครอบครัว ได้รับผลกระทบจากการประกาศของอุทยานแห่งชาติเขานัน หลังจากคนที่นี่เพิ่งประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ยังไม่ทันฟื้นฟูเข้ารูปเข้ารอย ล่าสุดชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ทับที่ดินของชาวบ้าน ยังไม่รวมลูกบ้านที่ถูกโค่นสวนผลไม้ โค่นสวนยางไปแล้วก่อนล่วงหน้าอีก 10 ราย ตนได้โทรศัพท์ไปสอบถามหัวหน้าอุทยาน กลับได้รับคำตอบว่า ยังไม่ทราบเรื่อง และจะยังไม่ดำเนินการใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กลับมีประกาศจากอุทยานฯ มาติดเอาไว้บนที่ดินของชาวบ้านแล้ว

 

 

“ตอนนี้มีที่ดินของชาวบ้าน 50 กว่าครัวเรือน ที่ถูกติดประกาศจากทางอุทยานฯ ชาวบ้านทุกคนจะได้รับผลกระทบแน่นอน หากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ มาโค่นล้มต้นยางและสวนผลไม้ที่เป็น แหล่งทำมาหากินของชาวบ้าน ทั้งที่ชาวบ้านอยู่มาก่อนประกาศอุทยานฯ หลายอายุคนแล้ว ผมคิดว่าต้องหาทางออกเรื่องนี้ให้ชัด เพราะมันกระทบกับชาวบ้านโดยตรง” นายชัยโยกล่าว

 

 

พ่อเฒ่าเผยอยู่มาตั้งแต่สมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา

 

นายโพธิ์ เพชรพุทธ ในวัย 80 ปี เล่าว่า เมื่อครั้งตนและครอบครัวขึ้นมาตั้งรกราก ทำมาหากินที่บ้านเขาโพธิ์ หมู่ 9 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช มาทำสวนยางและสวนผลไม้ ตามคำชักชวนของ เกลอพ่อ (เพื่อนสนิทของพ่อ) ในปีพ.ศ.2486 ช่วงหลังสงครามมหาเอเชียบุรพา (วันที่ 25 ม.ค.2485 ไทยประกาศเข้าร่วมสงครามมหาเอเชียบูรพา) ซึ่งนั้นเพื่อนเกลอพ่อได้ทำสวนยางมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว

 

 

“เดิมผมอยู่ที่อ.พรหมคีรี เมื่อปีพ.ศ.2484 เริ่มมีสงครามเกิดขึ้น มีคนญี่ปุ่นมาที่เมืองนครศรีธรรมราช ช่วงนั้นบ้านเมืองวุ่นวาย เกลอพ่อชวนขึ้นมาทำสวนยางด้วยกันที่นี่ จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวมาจาก อ.พรหมคีรี สมัยนั้นยังไม่มีการเรียกชื่อหมู่บ้าน จนกระทั่งอยู่มานานๆเข้า เขาก็เรียกบ้านนี้ว่าบ้านเขาโพธิ์ตามชื่อผม เพราะผมอยู่ที่นี่มานานกว่าคนอื่นๆ นับไปนับมาก็เกือบ 70 ปีแล้ว” นายโพธิ์กล่าว

 

ขณะที่นายชัยโยกล่าวเสริมว่า ประเทศไทยมีการประกาศพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ครั้งแรกในปี พ.ศ.2504 ขณะที่ชาวบ้านเขาโพธิ์ อาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนแล้วถึง 18 ปี

กระทั่งเมื่อวันที่  16 พ.ค.2551 ทางราชการมีการดำเนินคดีกับชาวบ้าน และอุทยานแห่งชาติเขานันได้ออกหนังสือวันที่ 26 ธ.ค.2554 ให้ชาวบ้านโค่นสวนยางพาราในพื้นที่ของตนเอง ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 26 มี.ค.2555

 

“คนที่นี่ถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าอุทยานแห่งชาติ ทั้งที่อุทยานแห่งชาติประกาศมาทับที่ดินมาหากินของพวกเรา แล้วยังมาออกหนังสือสั่งให้เราโค่นต้นยางและทำลายล้างสวนผลไม้ ที่ปลูกมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าของเราอีก” นายชัยโยกล่าว

 

 

 

นับย้อนวันสำรวจตั้งอุทยานฯก็แค่กว่า 20 ปี

 

หากนับย้อนดูประวัติของอุทยานแห่งชาติเขานัน จ.นครศรีธรรมราช พบว่า อุทยานแห่งชาติเขานัน มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อ.นบพิตำ อ.ท่าศาลา และอ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขานครศรีธรรมราช เป็นเทือกเขาสูงทอดยาวตามแนวเหนือ-ใต้ ที่ซับซ้อน มีเนื้อที่ 256,121 ไร่ หรือ 409.79 ตารางกิโลเมตร

ตามคำสั่งกรมป่าไม้ที่ 1627/2532 ให้ นายลือสัก สักพันธ์ เจ้าพนักงานป่าไม้ 4 กองอุทยานแห่งชาติ ไปดำเนินการสำรวจพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ากรุงชิง ป่าเขานัน และป่าคลองเผียน ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่อ.ท่าศาลา และอ.สิชล และเนื่องจากอุทยานแห่งชาติเขาหลวง และอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น มีพื้นที่ติดต่อกันเป็นผืนเดียว ประมาณ  388,232 ไร่ หรือ 601 ตารางกิโลเมตร จึงมีการสำรวจเพื่อประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ แต่ไม่ได้จัดทำแผนที่แสดงแนวเขตที่จะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแต่อย่างใด เนื่องจากมีสวนยางพาราและสวนผลไม้ของชาวบ้านอยู่ในพื้นบริเวณดังกล่าวด้วย

จากนั้นทางอุทยานแห่งชาติเขานันได้จัดทำรายการสำรวจเพิ่มเติม และกำหนดบริเวณพื้นที่ พร้อมทั้งจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตที่จะประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ตามหนังสือของกองอุทยานแห่งชาติที่ กษ 0713(ขน) /30 ลงวันที่ 4 พ.ค.2535 และให้จัดตั้งอุทยานแห่งชาติเขานัน จ.นครศรีธรรมราช ตามหนังสือของสำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ กษ 0712.3/2822 ลงวันที่ 8 มิ.ย.2537

 

เพิ่งประกาศตั้งเป็นทางการแค่ 3 ปี

 

และตามมติคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2535 เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2535 ตามระเบียบวาระที่ 4 เห็นชอบให้จัดตั้งอุทยานแห่งชาติเขานัน ในท้องที่ ต.กรุงชิง ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ ต.ตลิ่งชัน อ.ท่าศาลา และต.เขาน้อย ต.ฉลอง ต.เทพราช ต.เปลี่ยน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และดำเนินการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติ กระทั่งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2552 อุทยานแห่งชาติเขานัน ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 113 ของประเทศไทย โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 126 ตอนที่ 96 ก ลงวันที่ 23 ธ.ค.2552

พร้อมด้วย อุทยานแห่งชาติขุนน่าน จ.น่าน (อันดับที่ 111) อุทยานแห่งชาติแม่วาง จ.เชียงใหม่ (อันดับที่ 112) อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี (อันดับที่ 114) อุทยานแห่งชาติขุนพะวอ จ.ตาก (อันดับที่ 115) อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ จ.แม่ฮ่องสอน (อันดับที่ 116) อุทยานแห่งชาติภูลังกา จ.หนองคาย-นครพนม (อันดับที่ 117) อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก จ.สกลนคร (อันดับที่ 118) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง จ.ระนอง (อันดับที่ 119) อุทยานแห่งชาติแม่ปืม จ.พะเยา-เชียงราย (อันดับที่ 120) อุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองแก้ว จ.ตราด (อันดับที่ 121)

 

จี้หยุดโค่นยางชาวบ้าน-ตั้งกรรมการตรวจสอบแนวเขต

 

นายประยุทธ วรรณพรหม ผู้ประสานงานเครือข่ายที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวถึงปัญหาดังกล่าวว่า การประกาศเขตทับที่ทำกินของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องใหม่ของสังคมไทย และสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างมาก

กรณีที่เกิดขึ้นสิ่งแรกที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯควรทำคือ ต้องยุติการโค่นและทำลายสวนยางและสวนผลไม้ของชาวบ้านก่อน ตนคิดว่าผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช จะต้องเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่อ.นบพิตำ และควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วยตัวแทนจากทุกภาคส่วนขึ้นมาตรวจสอบข้อมูล นอกจากนี้เสนอให้ทำแผนที่ชุมชน ประกอบกับการเดินตรวจจับวัดพิกัดด้วยเครื่อง GPRS.เพื่อระบุพื้นที่อุทยานแห่งชาติและพื้นที่ของชาวบ้านที่ถูกต้องด้วย

นายประยุทธกล่าวว่า โดยทั่วไปชาวบ้านทางภาคใต้ซึ่งประกอบอาชีพทำสวนยางพารา มักจะปลูกผลไม้อื่นๆแซมระหว่างต้นยางพาราไปด้วย คนในพื้นที่จึงเรียกว่า ป่ายาง มากกว่าสวนยาง เพราะป่ายางของชาวบ้านมีทุกอย่างที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตที่อิงอาศัยกับธรรมชาติ ตามวิถีดั้งเดิม

 

“หน่วยงานรัฐมักมองชาวบ้านอย่างมีอคติว่า ชาวบ้านทำลายป่า ทั้งที่ชาวบ้านเองนั่นแหละเป็นผู้ดูแลรักษาป่าตามวิถีชีวิตที่ต้องอาศัยทำมาหากินร่วมกับธรรมชาติ ผมว่าการที่รัฐให้สัมปทานทำเหมืองแร่ตามเขตต้นน้ำบนเนื้อที่กว่าพันไร่ น่าจะเป็นเรื่องทำลายป่า ทำลายธรรมชาติมากกว่ากลุ่มชาวบ้านที่อาศัยทำมาหากินร่วมกับธรรมชาติมาตลอดทั้งชีวิตของเขา”

 

ปัญหานี้ยังไม่จบในเร็วๆ นี้แน่นอน หากภาครัฐยังมองประชาชนคนเล็กคนน้อย ที่อาศัยทำกินอยู่ในเขตพื้นที่ป่ามาก่อนที่รัฐจะประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติเช่นกรณีนี้ ทำให้ชาวบ้านกลายเป็นผู้บุกรุก ขณะที่บริษัทเอกชนสามารถทำเหมืองแร่ในพื้นที่ป่าบนเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ ภาครัฐกลับให้การสนับสนุนเมื่อเป็นเช่นนี้ทางออกของปัญหาอยู่ตรงไหน

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: