ส่วนต่างค่าแรงปริญญาตรี-อาชีวะทำตลาดขาดคน
คำถามหนึ่งในหัวข้อวิจัยเรื่อง ความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันศึกษากับตลาดแรงงาน : คุณภาพผู้สำเร็จการศึกษาและการขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ หนึ่งในงานวิจัยของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี ยกเครื่องการศึกษาไทย : สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง คือ ทำไมตลาดแรงงานจึงขาดแคลนผู้สำเร็จการศึกษาระดับอาชีวศึกษา ในขณะที่ผู้จบอาชีวศึกษาส่วนใหญ่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย
ผลจากการวิจัยระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ตลาดแรงงานขาดแคลนแรงงานระดับอาชีวศึกษา มาจากส่วนต่างค่าจ้างระหว่างคนจบมหาวิทยาลัยกับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีแนวโน้มสูงขึ้นมาก เนื่องจากความต้องการของตลาด ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต ดังนั้นเด็กที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับชั้นมัธยมปลาย จึงมุ่งเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมากกว่าเรียนต่อในระดับอาชีวศึกษา หรือทำงานทันทีหลังจบชั้นมัธยมศึกษาปลาย
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงความต้องการตลาดแรงงานภาคการผลิตและการบริการ ไม่สามารถขยายตัวได้ทันกับการเพิ่มขึ้นของผู้จบการศึกษาทั้งสองกลุ่มนี้ได้ ผลที่ตามมาคือ เกิดการว่างงานทั้งในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และระดับปริญญาตรี กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยมีตำแหน่งงานว่างประมาณ 200,000 ตำแหน่ง ในขณะที่มีคนว่างงานแสนกว่าคน คำถามที่ตามมาคือ ทำไมคนที่ว่างงานจึงเข้าไปทำงานไม่ได้ และนอกจากปัจจัยของค่าแรงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกหรือไม่ ที่ทำให้เด็กไม่สนใจเข้าเรียนต่อในระดับอาชีวศึกษา
ปัญหาครูไม่พร้อมทำให้เด็กไร้คุณภาพ
รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงศ์ ผู้อํานวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ให้สัมภาษณ์ศูนย์ข่าว TCIJ ถึงปัญหาดังกล่าว รวมถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานว่า จากการทำวิจัยพบว่า คุณภาพของคนเป็นเรื่องที่สำคัญ สิ่งที่นำเสนอจึงเป็นการปรับปรุงคุณภาพคนที่อยู่ในระบบการศึกษา คนที่เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งในระบบการเรียนอาชีวศึกษา มีปัญหามาก และปัญหาที่สำคัญคือ ตัวเด็กเอง การที่เด็กเลือกเรียนอาชีวศึกษา เพราะเรียนหนังสือไม่ดี เกรดต่ำ เพราะเด็กคิดว่าถ้าเกรดไม่ดี จะเรียนสายสามัญเพื่อต่อระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้ จึงต้องเรียนอาชีวะ และยังเป็นประเด็นภาพลักษณ์ของนักเรียนอาชีวะค่อนข้างไม่ดีในสายตาคนทั่วไป ผู้ปกครองจึงไม่อยากส่งลูกไปเรียนอาชีวะ และยังมีค่านิยมที่ต้องการจะให้ลูกได้ปริญญาด้วย นอกจากนี้ยังมีทัศนคติของทั้งเด็กและผู้ปกครองที่ไม่ค่อยยอมรับการศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษาแล้ว ปัญหาที่สำคัญคือ ความไม่พร้อมของอาจารย์ในโรงเรียนอาชีวะซึ่งมีปัญหามาก
“ขณะนี้อาจารย์ระดับอาชีวะขาดแคลน สองหมื่นกว่าคน และที่มีอยู่ตอนนี้เป็นครูอาชีวะที่จบใหม่ ไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อสอนในระดับนี้ ทำให้ไม่มีประสบการณ์ที่จะสอนเด็ก ทำให้เด็กที่จบออกไปไม่มีคุณภาพ คุณภาพครูต้องปรับปรุง ทุกวันนี้อาชีวะต้องสอนในวิชาและเทคโนโลยีที่ตลาดมีความต้องการ แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตรงนี้ไปไม่ถึง เพราะว่าครูไม่มีประสบการณ์ในโรงงานเลย”
หนุนโรงงานรับเด็กเรียนรู้จากของจริง
ดร.ยงยุทธกล่าวว่า จากการทำวิจัย คณะทำงานได้มีข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงคุณภาพของคนที่อยู่ในระบบเรียนคือ ขอให้มีระบบทวิภาคีให้เด็กได้เข้าไปทำงานในโรงงาน และมีครูที่ปรึกษาเข้าไป ให้เด็กอยู่ในนั้นหนึ่งเทอม เหมือนเป็นพนักงานโรงงาน ซึ่งเด็กจะได้ประสบการณ์ตรง และมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเรียนสายบัญชี ก็ไปฝึกงานด้านบัญชี ถ้าเรียนด้านอุตสาหกรรมให้ฝึกอุตสาหกรรม เรียนการโรงแรมฝึกงานกับโรงแรม ซึ่งตรงนี้มีข้อจำกัดที่ว่า โรงเรียนอาชีวะศึกษากระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ แต่สถาบันฝึกงานมีน้อย
นักวิชาการจาก TDRI กล่าวต่อว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบนี้ คือ ให้เอกชนเข้าไปสู่สถาบันการศึกษา ซึ่งมีหลายบริษัทดำเนินการนำร่องไปแล้ว เช่น บริษัทที่จ.สมุทรสงคราม ต้องการช่าง 20 คน เข้าไปรับเด็กจากสถาบันต่างๆ โดยบริษัทชี้แจงให้เด็กในสถาบันฟังว่า งานเป็นอย่างไร ต้องทำอะไร ซึ่งเด็กที่ได้รับการคัดเลือกนั้น บริษัทจะออกทุนการศึกษาให้ ให้เงินเดือนเป็นพนักงาน ปวช. ตามความเชี่ยวชาญ ออกค่าเดินทางไปเรียนที่วิทยาลัย และบริษัทจะร่วมร่างหลักสูตรกับวิทยาลัย ซึ่งนอกจากเด็กแล้ว วิทยาลัยจะส่งครูไปเรียนรู้และดูงานในโรงงานด้วย โรงงานจะส่งคนไปช่วยสอนในบางวิชา ซึ่งวิธีการนี้เป็นความต้องการของภาคเอกชน ที่ขาดแคลนบุคลากร ยังมีผู้ประกอบการบางรายเข้าไปจัดหลักสูตรให้ชั้นเรียน ในสาขาที่ต้องการ หรือผู้ประกอบการบางรายจะเข้าไปซื้อสถาบันการศึกษาที่ปิดกิจการ โดยเปิดสอนสาขาที่ต้องการ มีทุนการศึกษาให้รับเข้าทำงานเมื่อเรียนจบ เด็กออกมามีงานทำแน่นอน หรือ แบบซีพีออล์ ที่เปิดสอน เพราะต้องการคนที่จะมาทำงานในเซเว่นอีเลฟเว่น และได้คนในแบบที่ต้องการ
ทั้งนี้ในอนาคตคงต้องทำทั้งสองอย่าง แต่จะมีอีกจำนวนหนึ่งที่ตลาดไม่ต้องการด้วย จะทำอย่างไร เราคงต้องทำควบคู่กันไปยกระดับทั้งระบบการศึกษาส่วนหนึ่ง เพื่อจะป้อนตลาดแรงงาน ปวช.-ปวส.ได้
ราชภัฏทำผิดทางซ้ำเด็กยิ่งตกงานเพิ่ม
ดร.ยงยุทธกล่าวอีกว่า ช่วงปี 2546-2547 เรามีการยกระดับการศึกษาโดยยกเลิกทบวงมหาวิทยาลัยไปรวมกัน โดยพ.ร.บ.สถาบันราชภัฏไปรวมเป็นมหาวิทยาลัย ประมาณ 50-60 แห่ง ซึ่งก่อปัญหามาก เพราะเมื่อราชภัฎเป็นมหาวิทยาลัย การเรียนการสอนจะสอนเหมือนมหาวิทยาลัยเดิมที่มีอยู่ จากแต่เดิมที่สอนวิชาชีพครู ปรับมาสอนบริหารธุรกิจ วิศวะ สอนเหมือนกับมหาวิทยาลัยปิดโดยทั่วไป แต่จริงๆแล้วสถาบันราชภัฏควรจะเป็นวิทยาลัยชุมชน หลักสูตรต่างๆจะสนับสนุนและสอดคล้องกับตลาดแรงงานในท้องถิ่น แต่ปรากฏว่า ตลาดธุรกิจไม่สามารถตอบรับสถานศึกษาเหล่านี้ได้ เพราะมีทุกที่ ภาคธุรกิจของเราโตไม่ทัน อย่างดีเป็นได้แค่ภาคบริการ เด็กก็ตกงาน และวิ่งเข้ามาในเมือง มาหางานทำในกรุงเทพฯ ตลาดแรงงานจึงกระจุกอยู่ที่ส่วนกลาง แต่การผลิตกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อเข้ามาอยู่ส่วนกลางและจะย้ายออก จะมีต้นทุน ถ้าไปแล้วไม่ได้งานทำจะเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงมีการรองานและปัญหาการว่างงานเชิงโครงสร้างเกิดขึ้น
ยกระดับการศึกษา-ตัวการสร้างปัญหาว่างงาน
ดร.ยงยุทธเสนอว่า กระทรวงศึกษาธิการควรจะปรับปรุงขีดความสามารถที่ตัวเองจะทำได้ เช่น เรื่องการสร้าง กฎ กติกา ให้ยืดหยุ่นเพื่อสร้างเครือข่ายให้มาเข้าร่วมกับสถานศึกษา รวมทั้งต้องมีการยกระดับครู โดยเฉพาะสาขาช่าง ด้านวิชาชีพ ล้าสมัยเร็ว ยิ่งต้องมีการพัฒนาและอบรมอาจารย์ และที่จะกระจายอำนาจ อย่ากระจายไปเฉยๆ
“การทดสอบก่อนจบ ต้องมีการทดสอบว่าเด็กควรจะจบไหม มาตรฐานการวัดการสอบควรจะมี เพื่อให้รู้ว่าเด็กที่ออกไปต้องมีคุณภาพ ต้องเข้มงวดและโปร่งใสในการที่จะปล่อยให้เด็กจบออกไป สิ่งที่ห่วงมากคือ โรงเรียนไม่ยอมให้เด็กตก ให้เด็กผ่านหมด เพราะกลัวเสียชื่อสถาบัน ยิ่งทำให้เด้กไม่มีคุณภาพ”
แนะโครงการ 1 อำเภอ 1 สถาบันตัวอย่าง
นอกจากนี้นักวิชาการ TDRI ยังได้ทำข้อเสนอไปยังสภาการศึกษา โดยให้มีสถานศึกษาต้นแบบ อำเภอละ 1 แห่ง หรือ จังหวัดละ 1 แห่งให้เอกชนเข้าร่วม มีการรับประกันการมีงานทำ รับประกันค่าตอบแทน ยกระดับสถานศึกษาไว้รอเด็ก ให้เป็นต้นแบบในการสอน แบบที่ครูมีความพร้อม เด็กที่เข้ามาเป็นเด็กที่คัดเลือกเข้ามา โดยต้องร่วมมือกับเอกชนแต่แรก เพื่อร่วมกันจัดการการสอนในสถานศึกษา ซึ่งจะทำเต็มรูปแบบทุกชั้นเรียน หรือจะทำครึ่งหนึ่งแล้วแต่ความพร้อมของแต่ละแห่ง จังหวัดที่อยู่ไกลอาจจะทำได้ไม่ทั้งโรงเรียน เนื่องจากสถานประกอบการมีน้อย อาจจะทำบางส่วน บางสาขาอาชีพ โดยให้กระทรวงศึกษาเป็นผู้กำกับดูแล คอยติดตามประเมินผล สร้างระบบขึ้นมา เพราะอันนี้เป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ไม่มีใครอยากทำ เช่น สาขาช่างเชื่อมขาดแคลนในภาคอีสาน ภาคอีสานฝึกช่างเชื่อม ทำข้อตกลงกัน ส่วนกรุงเทพฯ ที่มีความพร้อม อาจจะทำทั้งระบบทั้งโรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมาช่างกลปทุมวันเคยทำ
อย่างไรก็ตามดร.ยงยุทธระบุว่า วิธีการนี้อาจจะมีปัญหาเกิดตามมา คือ ครูจะได้รับการตอบแทนเป็นพิเศษจากโปรแกรมที่ตนเองเข้าไปดูแล อาจจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับครูที่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรม ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ สร้างอีกห้องเรียนเพิ่มเข้ามา ให้มีการบริหารจัดการเป็นแบบเดิม
นโยบายปรับค่าแรงทำให้คนว่างงานเพิ่ม
นอกจากนี้ ดร.ยงยุทธยังกล่าวถึงนโยบายการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาเป็น 300 บาท และปริญญาตรี 15,000 บาทว่า ผู้ประกอบการจะเข้มงวดในการรับพนักงานมากขึ้น ซึ่งทุกวันนี้มีบริษัทต่างๆ จะมีสูตรอยู่แล้ว ถ้าคุณภาพสูงค่าจ้างสูง คุณภาพต่ำค่าจ้างต่ำ ถ้าขยับค่าจ้างขึ้นแล้ว คุณภาพจะตามไปด้วยหรือไม่ ถ้าไม่ได้เขาต้องเลิกจ้าง เพื่อความอยู่รอดของเขา
“คุณภาพของเด็กไทยทุกวันนี้ จะเข้าทำงานได้ยากขึ้น โอกาสในการว่างงานสูงขึ้น เพราะบริษัทจะใช้คนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ส่วนแรงงานระดับล่าง 300 บาท จะคัดเกรดแบบนี้เช่นเดียวกัน จะดูว่าคุ้มหรือไม่ เลือกคนที่จำเป็นไว้ บริษัทจะกำหนดหน้าที่รับผิดชอบขึ้นใหม่ มีการลดขั้นตอนในการทำงาน หลายบริษัทพบว่าคนที่มีอยู่เกิน เมื่อเกินจะหยุดรับ”
ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า ในปี 2555 -2556 หลายบริษัทจะหยุดรับคน เพื่อจะจัดการคนที่อยู่ข้างในก่อน จึงจะมาเติมคนที่ขาด ดังนั้นเมื่อประกาศใช้นโยบายดังกล่าว เป็นไปได้ว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้น แต่ข้อดีคือ อุตสาหกรรมบางอย่างที่ไม่เคยได้คน เช่น ช่างทำรองเท้า ทำเฟอร์นิเจอร์ อาจจะได้คนที่เหมาะสม เพราะคนเหล่านี้นี้ว่างงานมาจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมาตรฐานและเข้มงวด ไปอยู่ ซึ่งต้องย้ายคนพวกนี้ไปเป็นแรงงานเข้มข้น เพียงแต่เมื่อย้ายไปแล้วให้ค่าประสบการณ์เขาบ้าง อย่าต้องให้เขาไปตั้งต้นที่ค่าจ้างนับหนึ่งใหม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น พวกนี้จะออกจากอาชีพนี้เลย ตลาดจะยิ่งตึงตัว
แผนการศึกษาไม่เดินตามแผนพัฒนาประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องการผลิตบุคลากรจากระบบการศึกษา ที่ยังไม่ได้มาตรฐานตามที่ตลาดแรงงานต้องการ ดร.ยงยุทธกล่าวว่า ไม่ควรจะผลักภาระความผิดนี้ให้กับสถาบันการศึกษาอย่างเดียว ควรจะโทษกลไกความต้องการของตลาดด้วย เพราะทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยสะดุดอยู่ตลอดเวลา เศรษฐกิจที่โต 5 -7 % นั้น ไม่ได้รองรับว่า สิ่งที่เติบโตนี้คืออนาคตของประเทศหรือไม่ หรือหากจะบอกว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเป็นแบบสร้างสรรค์ ซึ่งจะต้องถอยกลับมามองถึงกำลังคนที่เราต้องการ จะต่างกับคนอย่างเก่าที่มีอยู่ จะใช้คนที่มีการศึกษาน้อยไม่ได้ คนที่จบออกมา จะต้องสามารถมาทำงานวิจัย พัฒนา ทำงานออกแบบ การตลาดที่ฝีมือดี คนจะต้องต่างจากคนแบบเดิม ดังนั้นสัญญาณความต้องการของตลาดที่ส่งออกมาต้องชัดเจน
“ตัวอย่างเช่น ตอนนี้คน 5 คน ผลิตรถๆได้ 1 คันต่อปี จะลดให้เหลือปีละ 3.5 คนต่อคัน การที่จะลดได้ กระบวนการต้องเปลี่ยน คนที่ใช้ก็ต้องเปลี่ยน และต้องย้อนกลับมาดูว่า คนที่มีต้องเพิ่มอีกกี่คน อาชีวะ ปวช. ปวส. สายช่างกี่คน ต้องมีการประสานพูดคุยกันตลอดเวลา ซึ่งนโยบายจะชัดเจนได้ต้องมาจากนโยบายของรัฐ เรามีแผนพัฒนาประเทศ แผนปฏิรูปการศึกษา แต่ในแง่ปฏิบัติที่บอกว่าจะผลิตคนให้ได้ยังไง เราไม่เคยมี”
ดร.ยงยุทธยังกล่าวด้วยว่า กระทรวงศึกษาฯมีแผนยุทธศาสตร์สภาการศึกษา แต่ไม่มีการปฏิบัติตาม เนื่องจากหน่วยงานเช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีแผนของตัวเองมีพ.ร.บ.ของตัวเอง ไม่ได้ดำเนินการตามแผนให้สอดคล้องกับนโยบายทางเศรษฐกิจ ต่างคนต่างทำตามบทบาท แผนเป็นเพียงแผน บางครั้งเปิดหลักสูตรตามที่อาจารย์สอน แต่ไม่ได้ดูว่าสอดคล้องกับตลาดแรงงานหรือไม่ ไม่ได้บอกว่าจะผลิตคนแบบนี้ มาจากคณะวิชาไหนบ้าง ตรงไหนยังขาดส่งไปเรียนต่อเพิ่มเติม เพื่อจะสอนคนให้ได้
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ