ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งดูแลโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังคงอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง เมื่อฝ่ายกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและชมรมแพทย์ชนบทเปิดโปงแผนล้มระบบหลักประกัน โดยการส่งคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ สปสช. ชุดใหม่ 7 คน และอ้างว่าเป็นฝีมือของบริษัทข้ามชาติ นักการเมือง และเครือข่ายวิชาชีพแพทย์
พ.ญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) คือจำเลยผู้หนึ่งที่กลุ่มเครือข่ายคนรักหลักประกันฯ กล่าวอ้างว่าเป็นกลุ่มเครือข่ายวิชาชีพแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ต้องการล้มระบบหลักประกันฯ ซึ่งพ.ญ.เชิดชู ปฏิเสธข้อกล่าวหาและทางสหพันธ์ฯ ได้ยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท ทั้งกล่าวด้วยว่าขบวนการล้มหลักประกันสุขภาพฯ ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม พ.ญ.เชิดชูระบุว่า การบริหารงานที่ผ่านมาของสปสช. ผิดพลาดและต้องปรับเปลี่ยน แต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการล้มระบบหลักประกันและไม่เคยคิดจะล้ม
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฯ มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อนโยบายของสปสช. กลุ่มเอ็นจีโอ ภาคประชาชน และกลุ่มแพทย์ หลายประเด็น แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ พ.ญ.เชิดชูกล่าวว่า เพื่อต้องการทำให้ระบบหลักประกันฯ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมๆ กับการรักษามาตรฐานคุณภาพการรักษาไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้
ชี้ 7 ประเด็นสปสช.บริหารพลาด
ข่าวคราวที่เกิดขึ้น พ.ญ.เชิดชูกล่าวว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งนำโดย “หมอร้อยบอร์ด” ที่ครองตำแหน่งกรรมการ สปสช. มายาวนาน แต่การคัดเลือกกรรมการครั้งล่าสุด เมื่อคนกลุ่มนี้ไม่สามารถผลักดันคนของตนเข้าไปนั่งบริหารสปสช.ได้จึงออกมาคัดค้าน
“เมื่อไม่ได้รับเลือกจึงออกมาตีโพยตีพายว่า มีคนจะล้มระบบหลักประกัน เป็นการบิดเบือน ป้ายสี ซึ่งเราไม่ได้ต้องการล้มระบบหลักประกัน แต่เราต้องการทำให้ระบบฯ ใช้เงินจากกองทุนให้ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง คนที่เสียผลประโยชน์จึงออกมาดิ้น”
พญ.เชิดชู กล่าวว่า การบริหารงานของ สปสช. มีความผิดพลาดหลายเรื่อง บางเรื่องก็มีแนวโน้มจะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน การตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน พบว่า การบริหารจัดการของ สปสช. ไม่ถูกต้องเหมาะสมถึง 7 ประเด็น คือ
1.การใช้จ่ายงบบริหารไม่ถูกต้องและไม่ประหยัด
2.การบริหารพัสดุไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
3.การนำเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐจากการซื้อยาจากองค์การเภสัชกรรม โดยใช้งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไปใช้เป็นเงินสวัสดิการเป็นการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม
4.การจัดส่วนงานและการกำหนดตำแหน่งงานไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
5.ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง
6.การใช้จ่ายงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
7.การบริหารงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรายการงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่เป็นไปตามที่คู่มือกำหนด
แฉจ่ายเงินรายหัวไม่ครบทำร.พ.ขาดทุน
“มีคนบอกว่า เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ให้บริการกับ สปสช. นั่นเพราะ สปสช.ทำผิด พ.ร.บ.หลักประกันฯ ที่บอกว่าให้มีกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีหน้าที่จ่ายค่าบริการสาธารณสุขแก่หน่วยบริการ เพื่อสนับสนุนและพัฒนากิจกรรมของหน่วยบริการ ดังนั้นเมื่อเขารับค่าใช้จ่ายรายหัวมา ต้องส่งมอบให้โรงพยาบาล แต่เขาส่งมอบไม่ครบตามจำนวน แต่แบ่งไปทำโครงการรักษาโรคเอง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง สปสช. ไม่มีหน้าที่กำหนดนโยบาย ทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน ขณะที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่กล้าทำอะไร” พ.ญ.เชิดชูกล่าว
พ.ญ.เชิดชูกล่าวต่อว่า เมื่อเงินติดลบ สปสช.อ้างว่าเงินบำรุงยังเหลือ แต่เงินบำรุงที่เหลือ คือภาระผูกพันที่ต้องจ่ายค่ายา ค่าพัฒนาโรงพยาบาล พอโรงพยาบาลขาดทุน เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็นำงบไทยเข้มแข็งมาพัฒนาโรงพยาบาล คนกลุ่มนี้ก็อ้างว่ามีการทุจริตงบไทยเข้มแข็ง กระทั่งนายวิทยา แก้วภราดัย ถูกพรรคกดดันให้ออกจากตำแหน่งรมว.สาธารณสุข เพื่อรักษาภาพลักษณ์ ถึงตอนนี้ก็ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีการทุจริต แต่งบที่จะลงไปพัฒนาโรงพยาบาลกลับหายไป ดังนั้นเงินบำรุงที่เหลือเป็นเงินที่ต้องจ่าย ไม่ใช่เงินเหลืออย่างที่เข้าใจ
พ.ญ.เชิดชูยังยกตัวอย่างความผิดพลาดในโครงการผ่าตัดตาต้อกระจก สปสช. ที่นำเงินไปซื้ออุปกรณ์การแพทย์เองจากองค์การเภสัชกรรม ซึ่งมี น.พ.วิชัย โชควิวัฒน์ เป็นประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ขณะเดียวกันน.พ.วิชัยยังเป็นกรรมการ สปสช. ด้วย โดยอ้างว่าจะได้อุปกรณ์ราคาถูก แต่อุปกรณ์กลับไม่มีคุณภาพ สร้างความไม่พอใจแก่จักษุแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่ง เนื่องจากผู้ป่วยต้อกระจกบางราย ยังไม่จำเป็นต้องรีบรักษา ทำให้ผู้ป่วยอื่นๆ เสียโอกาสการรักษา การรักษาก็ไม่ได้คุณภาพทำให้ผ่านไป 4-5 ปีต้องผ่าตัดใหม่โดยไม่จำเป็น และเกิดโรคแทรกซ้อน
“เงินที่ซื้ออุปกรณ์จากองค์การเภสัชฯ ก็มีการแบ่งเปอร์เซ็นต์มา ทั้งหมด 195 ล้านบาท เงินนี้ควรส่งให้โรงพยาบาลเอาไปพัฒนาการรักษา แต่สปสช. นำเงิน 195 ล้านบาทนี้ นำบุคลากรไปดูงานต่างประเทศตอนนี้นักการเมืองเริ่มรู้แล้วว่า สปสช. เป็นองค์กรที่บริหารงบมากมาย แต่ไม่มีใครตรวจสอบได้ ซึ่งเขาจะเริ่มตรวจสอบแล้ว” พ.ญ.เชิดชูกล่าว
บังคับใช้ยา-ตีกรอบการรักษา-ลดทางเลือกผู้ป่วย
เมื่อโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องจึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพการรักษา และสปสช.ยังกำหนดยาที่แพทย์จะใช้อีกด้วย พ.ญ.เชิดชูเห็นว่า การใช้ยาที่ไม่มีคุณภาพย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย เช่น การดื้อยาหรือพิการ ขณะที่สปสช.มักโจมตีแพทย์พาณิชย์ และบริษัทยาว่า มองแต่ผลประโยชน์ ทั้งที่หลักการทำธุรกิจย่อมต้องแสวงหากำไร แต่ภาครัฐต้องหาวิธีควบคุมไม่ให้เกิดการค้ากำไรเกินควร
“ถามว่ายาเป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิตหรือไม่ แล้วเราจะใช้แต่ยาเก่าๆ เดิมๆ ขององค์การเภสัชกรรมหรือ องค์การเภสัชประกาศซีแอล (มาตรการบังคับใช้สิทธิเพื่อนำเข้าหรือผลิตยาที่ติดสิทธิบัตร) แต่ไม่สามารถผลิตได้ต้องนำวัตถุดิบจากอินเดียมาปั๊มเม็ดยาเอง แต่ไม่เคยได้รับการตรวจสอบว่ามีคุณภาพมาตรฐานหรือไม่ หมอหลายคนที่ใช้พบว่า แทนที่คนไข้จะหาย กลับดื้อยา และรักษาไม่หาย”
พญ.เชิดชูอธิบายว่า Medicine is a science of probability หมายถึงวิชาแพทย์ คือศาสตร์แห่งความเป็นไปได้ และยังเป็น Art of Uncertainty หรือศิลปะแห่งความไม่แน่นอน การรักษาคนไข้มีปัจจัยหลายประการ ตัวคนไข้แต่ละคนมีสภาพร่างกายแตกต่างกัน โรคชนิดเดียวกัน วิธีการรักษาอาจแตกต่างกัน การรักษาของแพทย์จึงเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่ แม้จะมีความไม่แน่นอน แต่แพทย์จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกหนทางที่ดีที่สุดในการรักษาผู้ป่วยว่าควรรักษาอย่างไร ใช้ยาตัวไหน แต่ สปสช. กลับกำหนดยาที่แพทย์สามารถใช้ได้และยาที่ห้ามใช้
“สปสช.บังคับว่า ยาตัวนั้นตัวนี้ห้ามใช้ ถ้าใช้จะไม่จ่ายเงิน ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ บางทีคนไข้ที่พอจะมีเงินซื้อยาบ้าง บอกคุณหมอว่าจะสั่งยาแบบไหนก็เอาอย่างนั้น พอสั่งยาไปแล้วและส่งรายงานไปเพื่อเรียกเก็บเงิน สปสช. บอกว่ายานี้เป็นยานอกเหนือที่สปสช.จะจ่าย ให้เอาเงินไปคืนประชาชน แล้วก็ไม่ให้รักษาต่อด้วยยานี้”
เลิกปิดหูปิดตาหมอบีบใช้ยาเก่า-องค์การเภสัชฯ
พ.ญ.เชิดชูกล่าวอีกว่า เห็นด้วยกับการประหยัดงบประมาณ แต่จะต้องไม่สุดโต่ง โรคบางชนิดเหมาะสมกับยาชื่อสามัญหรือยาสมุนไพร ขณะที่โรคร้ายแรงบางโรคจำเป็นต้องใช้ยาราคาสูง แต่ไม่ได้แปลว่ายานั้นราคาแพง และหากให้วงการแพทย์ไทยก้าวหน้าก็ไม่ควรปิดหูปิดตาแพทย์อยู่กับยาเก่า หรือยาขององค์การเภสัชฯ ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบคุณภาพยา
สปสช. จึงเป็นต้นเหตุหนึ่งทำให้มาตรฐานคุณภาพการรักษาด้อยลง ซึ่งหากเกิดความผิดพลาด ผู้รับเคราะห์ก็คือแพทย์ แต่สปสช.กลับยังต้องการออกพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากการบริการสาธารณสุข ซึ่งพญ.เชิดชูถือว่าเป็นการซ้ำเติมแพทย์
ร่วมจ่าย-สร้างการมีส่วนร่วม แก้ปัญหายั่งยืน
สภาพปัญหาจึงวนเป็นงูกินหาง เมื่อสปสช.บริหารงบประมาณผิดพลาด โรงพยาบาลขาดทุน แต่มีผู้ใช้บริการสูงขึ้นทุกปี แพทย์ต้องทำงานหนักขึ้น ขณะที่ค่าตอบแทนแพทย์ถือว่าต่ำกว่าภาคเอกชนมาก จนไม่สามารถดึงแพทย์ให้อยู่ในระบบของรัฐได้ และเปิดปัญหาแพทย์ไหลเข้าโรงพยาบาลเอกชน เกิดการขาดแคลนแพทย์ แพทย์ที่มีอยู่เดิมก็ยิ่งแบกภาระหนัก คุณภาพการรักษาต่ำลงเรื่อย เกิดปัญหาการฟ้องร้องแพทย์ตามมา
เมื่อถามว่า หากขึ้นเงินเดือนแพทย์จะช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่ พ.ญ.เชิดชูกล่าวว่า ทางสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฯ ไม่ได้ต้องการค่าตอบแทนสูงๆ โดยไม่สามารถรักษาคุณภาพมาตรฐานได้
“เราไม่ได้เรียกร้องเงินค่าตอบแทน แต่เรากลัวว่ามาตรฐานการรักษาจะตกต่ำ เพราะใช้แต่ยาเก่าๆ ที่เป็นยาชื่อสามัญ เดี๋ยวนี้โรคร้ายหลายโรคมียารักษาได้ แต่ราคาแพง หลายประเทศจึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพ”
พ.ญ.เชิดชูมองว่า จำเป็นต้องทำความเข้าใจคำว่าเท่าเทียมหรือเสมอภาคกันใหม่ เพราะบางครั้งการให้การรักษาแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม มิได้แปลว่าจะเกิดความเป็นธรรมขึ้น พ.ญ.เชิดชูอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 51 ที่กล่าวว่า “ผู้ยากไร้” มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นผู้ที่มีความสามารถจ่ายได้ก็ควรร่วมจ่ายในระดับหนึ่ง
“เราต้องปฏิบัติต่อคนที่ด้อยโอกาสกว่าให้ดีกว่าคนทั่วไป เราให้อภิสิทธิ์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความเสมอภาคอาจนำไปสู่ความไม่เป็นธรรม เพราะคนรวยก็ไม่ต้องจ่ายเงิน ขณะที่คนจนแค่เดินทางไปโรงพยาบาลก็ลำบากแล้ว” พ.ญ.เชิดชูกล่าว
ไม่เคยคิดล้มระบบแต่ต้องการให้ได้มาตรฐาน
ขณะเดียวกันจะต้องลดจำนวนผู้ป่วย โดยการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพตนเอง พ.ญ.เชิดชูยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ ที่ใช้ระบบหลักประกันสุขภาพเช่นกัน ซึ่งภายหลังออกเกณฑ์ว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งจากการสูบบุหรี่จะต้องร่วมจ่าย เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพ
“หมอไม่ต้องการให้ล้มระบบ หมอเห็นด้วยว่า ประชาชนควรได้รับสิทธิในการดูแลรักษาสุขภาพ แต่เมื่อมีงบประมาณจำกัด จะกำหนดมาตรฐานคุณภาพการรักษาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน แล้วปล่อยให้แพทย์ตกเป็นผู้ร้ายเมื่อรักษาผู้ป่วยไม่ดี เพราะฉะนั้นคนที่มีเงินควรร่วมจ่าย บัตรทองครั้งแรกที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำมาใช้ คนจนจริง 20 ล้านคนไม่ต้องจ่ายเงินเลย แต่ 27 ล้านคน จ่ายค่ารักษา 30 บาท ดังนั้นสิ่งที่เขาบิดเบือนว่า เราต้องการล้มระบบหลักประกันฯ ทำให้ประชาชนเกลียดชังเรา แต่เราต้องการให้ประชาชนได้รับการรักษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน โดยการบริหารงานที่ถูกต้องเหมาะสม”
นอกจากนี้ การคัดเลือกกรรมการจะต้องมีความโปร่งใสกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่คัดเลือกกันเองเงียบๆ แต่ควรเปิดให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้รับรู้และมีส่วนร่วมตรวจสอบ มิใช่ปล่อยให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั่งตำแหน่งกรรมการและอนุกรรมการต่อเนื่องหมุนเวียนยาวนานเช่นนี้
“เพราะฉะนั้นเราจึงต้องการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร สปสช. ให้มาจากหลากหลายจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และต้องการตรวจสอบอย่างเข้มข้น พร้อมกับพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการรักษาของประชาชน แต่เรากลับถูกป้ายสีว่าเป็นผู้ร้าย” พ.ญ.เชิดชูกล่าว
การบริหารจัดการของ สปสช. ในความเห็นของพ.ญ.เชิดชู จึงควรได้รับการยกเครื่องใหม่ เพื่อดึงแพทย์ให้อยู่ในระบบ ยกระดับการรักษาพยาบาลให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อถามว่า กรรมการชุดใหม่ 7 คนที่เข้าไปจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ พ.ญ.เชิดชูกล่าวทิ้งท้ายว่า “เราไม่รู้ว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ แต่เราต้องตรวจสอบต่อไป”
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ