ผังเมืองชุมพรจ่อฮุบพื้นที่ 'เกษตร-ประมง' เตรียมผุด ‘โรงไฟฟ้า-อุตสาหกรรม-เขื่อน’ ชาวบ้านระดมปรับชุมชน-ทำงานอนุรักษ์ หวั่นวิถีชีวิตเปลี่ยน-สิ่งแวดล้อมย่อยยับ

ปรัชญเกียรติ ว่าโร๊ะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSJ) 28 ก.พ. 2555 | อ่านแล้ว 2295 ครั้ง

 

ผังเมืองชุมพรรุกคืบพื้นที่เกษตรกร

 

จากร่างผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร พ.ศ.... ซึ่งอยู่ในขั้นตอนเตรียมประกาศพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้ ระบุในเอกสารแนบท้ายของร่างผังเมืองรวม บางส่วนระบุว่า...พื้นที่สีเขียว (พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดชุมพร) สามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าได้

ลำดับที่ 49 โรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม

ลำดับที่ 59 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการถลุงเหล็ก ผลิตเหล็ก หรือเหล็กกล้าในขั้นต้น โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม

ลำดับที่ 88 โรงงานผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม

ลำดับที่ 89 โรงงานผลิตก๊าซ ซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ ส่ง หรือจำหน่ายก๊าซ โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม

เพียงบางส่วนนี้ ทำให้มองเห็นภาพของเมืองเกษตรกรรม ประมง ที่สงบร่มเย็น จะกลายภาพเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่วุ่นวายในไม่ช้าอย่างแน่นอน หากโครงการทั้งหมดผ่านการพิจารณา และประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา

สิ่งที่ชุมพรเป็นที่หมายปอง อาจเป็นเพราะมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ใกล้ทะเล และที่สำคัญเป็นช่องทางผ่านไปยัง จ.ระนอง ซึ่งจะออกไปยังฝั่งทะเลอันดามัน ที่มีพม่า อินเดีย ฯลฯ เป็นเป้าหมาย ทั้งในการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การขนส่ง พลังงาน รวมถึงการท่องเที่ยว ฯลฯ

ขณะที่ทางฝั่งอ่าวไทย ก็ยังเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางทะเล ทั้งสัตว์น้ำ การท่องเที่ยว น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ที่มีบริษัทพลังงานทั่วโลกเดินทางเข้ามาแสวงหาไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งหากดูตามแผนที่สัมปทานแหล่งพลังงานจะพบว่า ทั่วทั้งอ่าวไทยเป็นช่องตารางที่ถูกแบ่งสรรปันส่วนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กับทั้งชายฝั่งทะเลยังเหมาะแก่การขนส่งทางทะเลอีกด้วย

ชาวบ้านชุมพรรวมตัวถกปกป้องสิ่งแวดล้อม-ชุมชน

 

เมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งชาวบ้านและผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก เดินทางไปยังบ้านคลองเรือ ต.ปากทรง อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เพื่อร่วมเวทีสมัชชาเครือข่ายจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพลังงานอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 เพื่อร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงกรณีปัญหาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะเข้ามาสร้างในพื้นที่จ.ชุมพร

นายวน วงษ์ศรีนาค ชาวบ้านคลองเรือ ต.ปากทรง อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร กล่าวต่อที่ประชุมว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งสามารถใช้ไฟฟ้าสำหรับชีวิตประจำวันได้ เช่น  ดูโทรทัศน์ ตู้เย็น รีดผ้า เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ต่อมามีโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำชุมชน ชาวบ้านจึงช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อก่อสร้างเพื่อความมั่นคงในการใช้กระแสไฟฟ้าขนาด 100 กิโลวัตต์

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำชุมชน เป็นโครงการที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยชีวิตเมืองนครศรีธรรมราช ดำเนินการตามความต้องการของชาวบ้านคลองเรือ ในโครงการการจัดการความรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ (ระยะที่ 2) ภายใต้กรอบ “การศึกษาเพื่อการพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือก และโรงไฟฟ้าชุมชน” มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้สนับสนุน

 

กฟผ.เตรียมผุดโรงไฟฟ้า 2 แห่งแต่ถูกไล่

 

หากมองตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2553–2573 (PDP 2010) ของกระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เตรียมดำเนินโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ จ.ชุมพร อย่างน้อย 2 โครงการ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้ามากมายขนาดนั้น ทำให้เมื่อเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เข้าไปสำรวจและสอบถามความเห็นกับชาวบ้าน จึงถูกขับไล่ออกมาจนเป็นข่าวมาแล้วถึง 2 ครั้ง คือ เมื่อปี 2551 ที่อ.ปะทิว และอีกครั้งที่ อ.ละแม จ.ชุมพร เมื่อปลายปี 2553

สำหรับโรงไฟฟ้าที่กฟผ. มีเป้าหมายจะก่อสร้างอยู่ในพื้นที่บ้านบางจาก อ่าวยายไอ๋ หมู่ 5–6 ต.ชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ขนาดกำลังการผลิต 700–1,000 เมกะวัตต์ 4 เครื่อง รวมกำลังการผลิต 4,000 เมกะวัตต์

ขณะที่กฟผ.มีแผนจะก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่ต.ชุมโค และบ้านปากน้ำละแม ต.ปากน้ำ อ.ละแม กำลังการผลิตแห่งละ 1,000 เมกะวัตต์ ด้วยเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมีกระแสข่าวออกไป ทำให้ถูกต่อต้านจากชาวบ้านอย่างหนัก จนต้องประกาศเลื่อนการดำเนินโครงการออกไป 3 ปี

จัดระเบียบชุมชน-ทำกิจกรรมอนุรักษ์

 

นายสุพนัด ดวงกมล ประธานเครือข่ายปะทิวรักษ์ถิ่น กล่าวว่า ตั้งแต่ชาวบ้านไล่เจ้าหน้าที่ของกฟผ.ออกจากพื้นที่ เมื่อปี 2551 ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ของกฟผ.คนใด เข้ามาพื้นที่อีกเลย แต่ชาวปะทิวยังคงเฝ้าระวังและสังเกตคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ตนกับชาวบ้านกำลังผลักดันให้ต.ชุมโค จัดทำผังตำบล โดยอาศัยช่องทางสภาองค์กรชุมชนตำบลชุมโค ขับเคลื่อนประสานงานกับเทศบาลตำบลชุมโค โดยเชิญน.ส.ภารณี สวัสดิรักษ์ ประธานเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม มาให้ความรู้ด้านผังเมือง

นอกจากนี้เรายังมีกิจกรรมด้านอนุรักษ์ เช่น โครงการอนุรักษ์หอยมือเสือ เก็บข้อมูลที่ชาวบ้านเคยเห็นพะยูนมากินหญ้าทะเลบริเวณชายฝั่ง อ.ปะทิว รวมถึงการบุกเบิกสถานที่รกร้างบริเวณชายทะเลแหลมแท่นให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจด้วย

ขณะที่นายวิเวก อมตเวทย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์ละแม ตั้งข้อสังเกตว่า อ.ละแม น่าจะเป็นพื้นที่ซึ่งกฟผ.ประกาศลวงไว้เท่านั้น แต่จะไม่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจริง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาเขตชุมพร

 

“ปากน้ำละแมค่อนข้างกว้าง อาจรวมไปถึงริมฝั่งทะเลอ.หลังสวน ติดกับอ.ละแม ไปจนถึงจ.สุราษฎร์ธานีก็ได้ เพราะเมื่อปลายปี 2553 ยังมีการสำรวจขุดเจาะดิน ที่ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับปากน้ำละแมด้วย” นายวิเวกกล่าว

เขื่อนกรมชลฯก็กำลังจะมา

 

นอกจากโรงไฟฟ้าของกฟผ.ที่มีโครงการจะก่อสร้างอยู่ตลอดเวลาแล้ว ความพยายามของกรมชลประทานก็มิได้หยุดหย่อนไปกว่ากัน ที่จะก่อสร้างเขื่อนท่าแซะ ที่อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ให้สำเร็จ ท่ามกลางการคัดค้านของชาวบ้านที่มองไม่เห็นความจำเป็นของเขื่อนนี้ และเขื่อนรับร่อในพื้นที่ใกล้เคียงกัน กระทั่งคณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกเขื่อนรับร่อ และให้ชะลอการก่อสร้างเขื่อนท่าแซะออกไปก่อน

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อปฏิกิริยาของคนในพื้นที่คือ ความไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ เพราะที่ผ่านมามีคนของหน่วยงานของราชการ เข้ามาสืบเสาะข้อมูลจากชาวบ้าน ขณะที่กรมชลประทานจัดเวทีในตัว จ.ชุมพร ชี้นำให้สร้างเขื่อนท่าแซะ ชาวบ้านจึงต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา

“ทั้งหมดนี้ชาวบานเชื่อว่าเป็นความพยายามของหน่วยงานรัฐที่สอดคล้องกันคือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้า และเขื่อนเก็บน้ำ เพื่อนำไปสนับสนุนการก่อสร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในอนาคต ตามที่ร่างผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร ระบุไว้ ซึ่งนั่นหมายถึงผู้ที่จะได้รับผลกระทบรอบด้านคงหนีไม่พ้นชาวบ้าน ที่ถูกคนนอกพื้นที่จ้องเข้ามาเก็บเกี่ยวทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ที่เก็บรักษากันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย และนี่เป็นอีกโอกาสที่คนชุมพรจะได้รวมตัวกันเพื่อปกป้อง”

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: