แปดริ้วฮือต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน-มลพิษ หวั่นทำ'มะม่วง-ข้าวอินทรีย์'เจ๊งนับล้าน นักวิชาการชี้ส่งผลกระทบ 'ซัลเฟอร์-ฝุ่น' จวกสผ.ไม่ให้เปิด อีไอเอ อ้างเป็นความลับ

ชุลีพร บุตรโคตร 27 ก.พ. 2555 | อ่านแล้ว 1565 ครั้ง

 

โรงไฟฟ้าชีวมวลขอเปลี่ยนมาใช้ถ่านหิน


จากกรณีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนรวม บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (เอ็นพีเอส) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 47.7เมกะวัตต์ ที่ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา มาตั้งแต่ปลายปี 2542 ได้ยื่นเอกสาร ถึงสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ขอเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิง จากเชื้อเพลิงชีวมวล เช่น เหง้ามัน และแกลบ มาเป็นถ่านหิน100%ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งสวนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม สวนมะม่วง และนาข้าวเกษตรอินทรีย์ เถ้าถ่านหินอาจจะส่งผลกระทบกับพืชผลทางการเกษตรเหล่านั้นได้

 

อย่างไรก็ตามการขอเปลี่ยนแปลงเชื้อเพลิง บริษัทจะต้องยื่นขออนุญาตจากสผ.ใหม่ และจะต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)ใหม่อีกครั้ง และคาดว่า คณะกรรมการผู้ชำนาญการ(คชก.) ในการพิจารณาอีไอเอของสผ.จะพิจารณาอีไอเอฉบับใหม่ ในวันที่ 1 มี.ค.นี้

 

 

 

นักวิชาการชี้ชีวมวลไม่มีมลพิษ-ถ่านหินพิษอื้อ


ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเสวนาเรื่อง “จะตัดสินใจอย่างไร หากโรงไฟฟ้าชีวมวลจะเปลี่ยนเป็นถ่านหิน” โดย มีตัวแทนนักวิชาการ  นักวิจัย และเกษตรกรชาวสวนมะม่วง ที่อยู่ในพื้นที่เข้าร่วมประมาณ 60 คน

นายศุภกิจ นันทะวรการ นักวิจัยด้านพลังงานและอุตสาหกรรม มูลนิธินโยบายสุขภาพ (มนส.)กล่าวในการเสวนาว่า ชีวมวลเป็นพลังงานที่ได้มาจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น แกลบ ซากพืช ตอไม้ รากมัน เป็นพลังงานที่มีการหมุนเวียนไม่หมดไป ไม่เหมือนกับถ่านหิน ที่ต้องเอามาจากใต้ดิน ใช้แล้วหมดไป ต้องรออีกนานนับล้านปี จึงจะเกิดใหม่ได้ ทำให้มีการปนเปื้อนของสารเคมีสูง ประเทศไทยมีถ่านหินเพียงชนิดเดียว คือ ถ่านลิกไนต์ เท่านั้น ที่เหลือจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และแอฟริกา จากการทำเก็บข้อมูล ทำสถิติ เรื่องข้อดีข้อเสียของพลังงานจากชีวมวล และพลังงานของถ่านหิน พบว่า ถ่านหิน ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศสูงมาก ในฝุ่นของถ่านหินจะมีคาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และสารปรอทปนเปื้อนอยู่ด้วย ในขณะที่พลังงานจากชีวมวล ไม่มีมลพิษพวกนี้อยู่เลย

 

งงทั่วโลกช่วยลดโลกร้อนแต่ไทยหนุนใช้ถ่านหิน

 

นายศุภกิจกล่าวว่า ตามหลักวิชาการแล้ว โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลนั้นแทบจะไม่มีปัญหาที่เป็นสาเหตุให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น หรือภาวะโลกร้อนเลย ในขณะที่เชื้อเพลิงอย่างถ่านหินนั้น สร้างปัญหาเรื่องนี้หนักที่สุด ซึ่งทั่วโลกตื่นตัวในเรื่องนี้ และพยายามที่จะลดปริมาณการใช้ถ่านหินลง แต่ตนก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีเจตนารมย์ที่จะลดปัญหาโลกร้อน แต่ทำไมถึงยังพยายามให้เกิดโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินอยู่

 

“เวลานี้ประเทศไทยมีศักยภาพของเชื้อเพลิงชีวมวลในภาพรวม อยู่ประมาณ 3,700-6,000 เมกะวัตต์ น่าสงสัยว่า ทำไมโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดเพียง 40 กว่าเมกะวัตต์ จึงอ้างว่าไม่มีเชื้อเพลิงชีวมวลจะใช้ จึงขอเปลี่ยนไปใช้ถ่านหิน ทั้งนี้ยังทราบว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนสำหรับภาคเอกชน และโรงไฟฟ้าแห่งนี้ ก็ได้รับการสนับสนุนไปแล้วประมาณ 10ล้านบาท ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)เป็นเวลา 25 ปี นำมาซึ่งประเด็นที่น่ากังวลว่า หากยินยอมให้มีการเปลี่ยนเชื้อเพลิงในโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้จริงๆ และโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีอยู่ 306โครงการทั่วประเทศเวลานี้ จะขอเปลี่ยนเชื้อเพลิงบ้าง จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลแห่งหนึ่งที่ จ.เชียงราย เคยยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนมาเป็นถ่านลิกไนท์จากประเทศพม่ามาแล้ว และกำลังมีปัญหากับชาวบ้านในพื้นที่เช่นเดียวกัน”  นายศุภกิจกล่าว

 

 

 

ระบุถ่านหินเกิดซัลเฟอร์ฯปีละ 785 ตัน-ราคาแพงกว่า

 

นายศุภกิจกล่าวต่อว่า ในแง่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ จากการศึกษาถ่านหินก่อให้เกิดปัญหากับทางเดินระบบหายใจ เพราะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ออกมาจากการเผาไหม้ หากฝนตกลงมาจะทำให้น้ำฝนกลายเป็นฝนกรด ส่งผลกับต้นไม้ พืชผลเกษตรของชาวบ้าน พบว่า ในระยะเวลา 1ปี เชื้อเพลิงชีวมวล เมื่อเผาไหม้จะก่อให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอากาศ 75ตัน ในขณะที่ถ่านหิน โดยเฉพาะถ่านหินพิทูมินัสซึ่งได้ชื่อว่าเป็นถ่านหินที่สะอาดที่สุดในบรรดาถ่านหินทั้งหมดแล้ว จะเกิดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ถึง 785 ตัน

 

“นอกจากนี้ยังพบว่า เชื้อเพลิงจากชีวมวล ก่อให้เกิดปริมาณฝุ่นในอากาศ 50 กิโลกรัมต่อปี ขณะที่ถ่านหิน ก่อให้เกิดฝุ่นมากถึง 72,000 กิโลกรัมต่อปี ที่สำคัญคือ ฝุ่นที่ออกมาจากถ่านหินนั้น มีสารเคมีอย่างอื่นปนเปื้อนออกมาด้วย เช่น สารปรอท พบว่า ใน 1 ปี จะมีสารปรอทออกมาจากเถ้าของถ่านหิน มากถึง 112 กิโลกรัม ถือว่าอันตรายมาก เพราะปรอทเป็นสารที่สลายตัวยาก และสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมยาวนานมาก เช่น ลงไปในน้ำ สะสมในสัตว์น้ำ คนกินเข้าไปก็จะไปสะสมในร่างกาย เป็นสาเหตุให้เกิดโรคร้ายต่างๆมากมาย เรายังพบว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจะมีภาระในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เช่น จากสารปรอท ตะกั่ว มลพิษทางอากาศ มากกว่าปีละ 500 ล้านบาท” นายศุภกิจกล่าว

 

นายศุภกิจกล่าวอีกว่า ความจริงแล้ว ต้นทุนสำหรับเชื้อเพลิงชีวมวล เมื่อเทียบกับถ่านหินแล้ว เชื้อเพลิงชีวมวลถูกกว่ามาก และเงินดังกล่าวยังหมุนเวียนภายในประเทศได้อีก เช่น ค่าแกลบ ที่ซื้อมาจากเกษตรกร ปีละ 185 ล้านบาท ขณะที่ถ่านหินที่ต้องนำเข้าจากอินโดนีเซีย หรือออสเตรเลีย ปีละ 200 ล้านบาท แต่เงินดังกล่าวออกนอกประเทศเกือบหมด ที่สำคัญคือเรื่องการจ้างงาน พบว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลนั้น ก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ปีละ 182 คน ขณะที่ถ่านหินทำให้เกิดการจ้างงานแค่ 115 คน ต่อปีเท่านั้น

 

ด้านนายชัชวาลย์ จันทรวิจิตร นักวิชาการคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า ปัจจุบันทุกประเทศทั่วโลกต่างก็พยายามแก้ไข และลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้พลังงาน พยายามเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิง เพื่อลดอุณหภูมิในบรรยากาศ ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วอย่างชัดเจนว่า ถ่านหินเป็นตัวที่สร้างปัญหามากที่สุด แทบทุกประเทศพยายามที่จะเลิกใช้ โดยเปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวมวลแทน ซึ่งจะลดปัญหาในเรื่องนี้ได้มาก

 

“ขณะที่ประเทศไทยเรากำลังเดินสวนทางกับโลก จากที่เคยทำดีอยู่แล้ว เรื่องพยายามมาใช้พลังงานชีวมวล และรัฐบาลก็ส่งเสริม แต่ถ้ายอมให้พลังงานชีวมวลเปลี่ยนกลับมาใช้ถ่านหินอีก ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ถ่านหิน เป็นสิ่งที่อยู่ใต้ดิน และใต้ดินก็มีอะไรเยอะที่เราไม่รู้ว่ามีอะไรปนเปื้อนอยู่บ้าง หากเอามาเผาไหม้จะมีผลกระทบตามมาเยอะ ทั้งปรอท และฝุ่นการศึกษาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด” นายชัชวาลย์กล่าว

 

 

 

หวั่นกระทบสวนมะม่วง-นาข้าวนับแสนไร่


น.ส.กอบมณี เลิศพิชิตกุล นักวิจัยชุมชน ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า อาชีพหลักของชาวบ้านใน จ.ฉะเชิงเทราคือ การทำสวนมะม่วงและ      เกษตรอินทรีย์  มะม่วงจาก จ.ฉะเชิงเทรา ถือว่า เป็นมะม่วงที่ดีที่สุดในประเทศไทย มีอยู่ประมาณ 80,000ไร่ สร้างรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 600ล้านบาท โดยเฉพาะ  ใน  อ.แปลงยาว  อ.พนมสารคาม และ อ.สนามไชยเขต สาเหตุที่มะม่วงในพื้นที่นี้มีรสชาติดีกว่าพื้นที่อื่นเพราะ ในดินมีแร่ธาตุจากแม่น้ำ เป็นดินเหนียว และมีภูมิอากาศที่เหมาะสม

 

“ชาวบ้านกังวลมาก เมื่อรู้ว่าโรงไฟฟ้าจะเปลี่ยนเชื้อเพลิง มาเป็นถ่านหิน 100%เรากลัวว่า มลพิษจะปนเปื้อนไปในระบบห่วงโซ่อาหาร ส่งผลต่อสวนมะม่วง และ เกษตรอินทรีย์ ซึ่งค่อนข้างจะอ่อนไหวต่อมลพิษ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องของสุขภาพ กรณีสวนมะม่วง ถ้าปลูกมะม่วงไม่ได้ก็เปลี่ยนอาชีพอื่นได้ แต่ถ้ามีผลกระทบต่อสุขภาพ อยู่ไม่ได้จะให้เราย้ายไปอยู่ที่ไหน อยากให้ส่วนราชการที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ เข้าใจเรื่องนี้กับชาวบ้านด้วย” น.ส.กอบมณีกล่าว

 

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากผู้ร่วมอภิปรายในเวทีพูดจบ พิธีกร ได้ให้ชาวบ้านในพื้นที่แสดงความคิดเห็น หลายคนให้ข้อมูลว่า เวลานี้บริษัทโรงไฟฟ้าดังกล่าว เริ่มเปลี่ยน เชื้้อเพลิงจากแกลบ และเหง้ามัน มาใช้ถ่านหินบ้างแล้ว เพราะสังเกตเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งเข้าออกโรงงานเป็นเวลา เป็นประจำ เชื่อว่ารถบรรทุกเหล่านั้นจะบรรทุกถ่านหินและเป็นมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นที่มาของการลดลงของผลผลิตมะม่วง ที่หลายแห่งผลผลิตลดลงถึง 20 %

 

สผ.อ้างอีไอเอเป็นความลับให้ดูไม่ได้

 

นอกจากนี้ชาวบ้านหลายคนยังให้ข้อมูลว่า ชาวบ้านพยายามขอดูอีไอเอที่โรงไฟฟ้าส่งไปให้ คชก.ของสผ.พิจารณา แต่ทางสผ.อ้างว่าเป็นความลับของโรงไฟฟ้า ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ ทั้งนี้มีนักกฎหมายที่เข้าร่วมสัมมนาในวันนี้แนะนำว่า จะต้องทำหนังสือตามขั้นตอน เพื่อขอดูอีไอเอจากสผ.และส่งข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดในพื้นที่ให้ คชก.พิจารณาร่วมกับอีไอเอของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ด้วย

 

คาดผลเสียเกิดปีละเกือบ 50 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่นักวิจัยชุมชน อ.พนมสารคาม และอ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ร่วมกับสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อค้นพบเบื้องต้น จากการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน(CHIA)กรณีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน 600เมกะวัตต์ พื้นที่ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม และติดกับอ.สนามชัยเขต ระบุว่า การสร้างโรงไฟฟ้าอาจทำให้ชุมชนเกษตรอินทรีย์ และสวนมะม่วงส่งออกในพื้นที่ล่มสลาย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเกือบ 50 ล้านบาทต่อปี และอาจเกิดกรณีพิพาทแย่งชิงทรัพยากรน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค เนื่องมาจากมลพิษและความต้องการใช้น้ำกว่า 11 ล้าน ลบ.ม. ที่มาพร้อมกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน

 

ทั้งนี้เนื่องจาก ข้อมูลงานวิจัยชี้ว่า พื้นที่ในอ.พนมสารคาม และอ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา มีความอ่อนไหวต่อการก่อตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากถ่านหินพิทูมินัส ขนาด 600 เมกะวัตต์ จ.ฉะเชิงเทรา มูลค่าโครงการ 24,000 ล้านบาท ของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่กลุ่มโรงงานพนมสารคาม ของบริษัท 304 อินดัสเทรียล ปาร์ค 2 จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มโรงงานในเครือบริษัท เกษตรรุ่งเรืองพืชผล จำกัด

 

 

 

จัดสรรเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานสากลอย่าง สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ตามมาตรฐานสหพันธ์อินทรีย์นานาชาติ (IFOM) และมาตรฐานสหภาพยุโรป (EU) ทั้งข้าวหอมมะลิ มะขามเปียกแกะเมล็ด ตะไคร้ และผักพื้นบ้าน ที่มูลค่าการตลาดต่อปีไม่ต่ำกว่า 17.2 ล้านบาท และยังเป็นแหล่งสวนมะม่วงน้ำดอกไม้และเขียวเสวยคุณภาพระดับส่งออกต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสวิสเซอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น ดูไบ สิงคโปร์ เวียดนาม ที่มีมูลค่าการตลาดทั้งในและต่างประเทศกว่า 43 ล้านบาท ในปี 2553

 

เผยขนาดใช้ชีวมวลยังตัดมะม่วงทิ้งไปแล้ว 40 ไร่

 

ซึ่งหากมีโรงไฟฟ้ามาตั้งอยู่ในรัศมีห่างจากพื้นที่ดังกล่าวเพียง 5 กิโลเมตร อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษทั้งทางน้ำ พื้นดิน และอากาศได้ เพราะโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง มักจะมีซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปนเปื้อนออกมา และทำให้เกิดฝนกรด เนื่องจากปัจจุบันเพียงโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 37.4 เมกะวัตต์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กลุ่มโรงงานพนมสารคาม 304 ยังส่งผลกระทบทำให้ชาวสวนมะม่วงรอบโครงการ ต้องโค่นสวนทิ้งไปแล้วกว่า 40 ไร่ เนื่องจากมะม่วงติดดอกแต่ไม่ออกผล ซึ่งคาดการณ์ว่าสาเหตุมาจากเขม่าควันจากโรงไฟฟ้า จับดอกมะม่วงทำให้เกิดเชื้อราและเน่าในที่สุด

 

นอกจากนี้ ข้อมูลจากแผนปฏิบัติราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2554 ทำให้ทราบอีกว่า ขณะนี้จ.ฉะเชิงเทรา มีความขาดแคลนทรัพยากรน้ำถึงขั้นไม่พอใช้ โดยใน อ.พนมสารคามถือว่าเป็นพื้นที่ขาดแคลนแหล่งน้ำ ส่วน อ.สนามชัยเขต ชาวบ้านในพื้นที่บ้านโพนงาม บ้านสระไม้แดง  และบ้านป่าอีแทน ต.คู้ยายหมี  รวมแล้วกว่า 270 ครัวเรือน กินพื้นที่ 2,200 ไร่ ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนขนาด 600 เมกะวัตต์ที่จะก่อตั้งนั้น ต้องใช้น้ำจำนวน 11 ล้าน ลบ.ม.ในกระบวนการผลิต โดยมีบริษัท น้ำใส 304  จำกัด เป็นธุระจัดหาน้ำให้ และหากเป็นการนำน้ำมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จำเป็นต้องมีการขออนุญาตไปยังกรมชลประทาน ซึ่งทางกรมชลประทานระบุให้ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่เพื่อการเกษตรและชลประทานเท่านั้น  แต่บริษัทจัดหาน้ำดังกล่าวกลับทำสัญญากับโครงการโรงไฟฟ้าว่าจะจัดสรรน้ำดิบที่หาได้ทั้งหมดให้ โดยแหล่งน้ำธรรมชาติที่โรงงานไฟฟ้าจะขอปันใช้มาจากคลองระบม (ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่สำคัญของลุ่มน้ำคลองท่าลาด) ซึ่งเดิมใช้เพื่อการเกษตรของชาวนาชาวสวนและไม่ค่อยเพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว และมีจำนวนจำกัดในการผันน้ำมาใช้สูงสุดได้ไม่เกิน 2 ล้าน ลบ.ม

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: