Love in the Time of Cholera: เมื่อโฟลเรนติโน อารีซาร้องเพลงไวพจน์ เพชรสุพรรณ

อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ 15 ก.ค. 2559 | อ่านแล้ว 1944 ครั้ง


อาจเป็นด้วยความบังเอิญที่ทั้งนวนิยายและเพลงดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง  อีกทั้งเมื่อผมทราบข่าวว่ากัปตันชรานามกาโบ (Gabo) ได้ถอนสมอล่องเรือจากโลกนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2014  บทความชิ้นนี้จึงเป็นการแสดงคารวาลัยต่อยอดนักประพันธ์แห่งมหาสมุทรน้ำหมึกผู้ล่องเรือสัจนิยมมหัศจรรย์โบกมืออำลาจากนักอ่านและบรรณพิภพไปแล้วอย่างมิหวนคืน

Love in the Time of Cholera หรือชื่อตามต้นฉบับภาษาสเปนว่า El amor en los tiempos del cólera นับเป็นผลงานการเขียนอันยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ผู้โด่งดังในฐานะเจ้าพ่อวรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์จากนวนิยายอย่าง “One Hundred Years of Solitude” (หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว) ภายหลังจากที่เขาได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี ค.ศ. 1982  มาร์เกซเริ่มสร้างผลงานนวนิยายอีกครั้ง  โดยลงมือเขียนร่างแรกของ Love in the Time of Cholera  ในปี ค.ศ. 1984  ขณะพำนักอยู่ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City)  อย่างไรก็ตาม ร่างแรกกลับถูกเขาขยำทิ้งด้วยรู้สึกว่างานยังขาดความสมจริง  มาร์เกซตัดสินใจกลับประเทศโคลอมเบีย เดินทางไปสู่เมืองท่าสำคัญทางตอนเหนืออย่างคาร์ตาเฮนา (Cartagena) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองอรากาตากา (Aracataca) สถานที่เกิดของเขา ที่นั่นเป็นแหล่งวัตถุดิบอุดมสมบูรณ์ที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการต่อนวนิยายเรื่องนี้ได้อย่างดียิ่ง  มาร์เกซค่อยๆทำงานเขียนพร้อมกับการเดินทอดน่องไปเรื่อยๆในตัวเมืองเพื่อซึมซับบรรยากาศของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตแห่งคาร์ตาเฮนา เขาย้อนกลับไปเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City) เมื่อต้นฉบับเขียนเสร็จ  ในที่สุด Love in the Time of Cholera ก็ได้ตีพิมพ์เป็นภาษาสเปนครั้งแรกเมื่อปลายปี ค.ศ. 1985  จากนั้น อีดิธ กรอสแมน (Edith Grossman) นักแปลผลงานเจ้าประจำของมาร์เกซได้ถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษและตีพิมพ์เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1988

นวนิยายรักขนาดยาวเรื่องดังกล่าว เปิดฉากขึ้นในเมืองชายฝั่งทะเลแคริบเบียน ซึ่งพอจะเห็นภาพได้ว่าเป็นเมืองคาร์ตาเฮนา (Cartagena) ผลงานชิ้นนี้มาร์เกซเล่าเรื่องด้วยลีลาเรียบง่าย มิได้ผสานความจริงและความมหัศจรรย์เฉกเช่นเดียวกับงานหลายชิ้นของเขา  หากด้วยความยาวของเรื่องและการแทรกรายละเอียดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอย่างซับซ้อนสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของตัวละครที่เปลี่ยนแปรไปต่างๆนานา เนื้อหานวนิยายถ่ายทอดเรื่องราวของโฟลเรนติโน อารีซา (Florentino Ariza) พนักงานโทรเลขหนุ่มผู้ชอบเขียนบทกวีและสีไวโอลิน เขาตกหลุมรักแม่สาวรุ่นทรงเสน่ห์ เฟร์มีนา ดาซา (Fermina Daza) แต่ถูกโลเรนโซพ่อของเธอกีดกันจนถึงขั้นพรากเธอหนีจากเขาไปสู่ดินแดนแสนไกล[1] เมื่อเฟร์มีนาหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เธอป่วยไข้ในห้วงยามที่อหิวาตกโรคกำลังแพร่ระบาด ด้วยเหตุนี้  นายแพทย์ตระกูลสูงผู้สำเร็จการศึกษาจากปารีสอย่างคูเบนัล อูร์บีโน (Juvenal Urbino) ต้องเดินทางมารักษาเธอ เขาตกหลุมรักหญิงสาวทันทีเมื่อแนบหูบนเนินถันของเธอเพื่อวินิจฉัยโรค ในที่สุด โดยไม่มีอุปสรรคใดกีดขวาง นายแพทย์คูเบนัลและเฟร์มีนาได้แต่งงานกัน ขณะที่โฟลเรนติโนตรอมตรมอยู่กับความเจ็บปวดทรมานจากพิษเสน่หา  หากความรักของโฟลเรนติโนที่มีต่อเฟร์มีนามิได้สิ้นสุดลง ทั้งสองต้องใช้เวลายาวนานถึง 51 ปี 9 เดือน กับอีก 4 วัน พนักงานโทรเลขหนุ่มต้องรอคอยเพื่อที่จะให้นายแพทย์คูเบนัลสามีโดยชอบธรรมของเฟร์มีนาตายลง ทั้งนี้ก็เพื่อโอกาสทางความรักระหว่างเขากับนางในดวงใจอีกหน  อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ฟลอเรนติโนเฝ้ารอคอยความรักถึงห้าทศวรรษนั้น เขาเริ่มมีความมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นเจ้าของบริษัทเดินเรือแม่น้ำแห่งแคริบเบียน ขณะเดียวกันก็มีสัมพันธ์สวาทกับหญิงสาวอีกมากมายหลายคน หากนับเฉพาะเท่าที่จดบันทึกไว้ในสมุดก็ปรากฏว่า ฟลอเรนติโนได้ร่วมหลับนอนกับสตรีถึง 622 คนเลยทีเดียว

อย่างที่บอกไปแล้วในตอนต้นว่า ผมได้ยินเสียงเพลงไวพจน์ เพชรสุพรรณในนวนิยายเรื่องนี้ของมาร์เกซตลอดเวลา ทั้งนี้เป็นเพราะเรื่องราวความรักของตัวละครเอกคือ โฟลเรนติโน อารีซานั้น มีลักษณะเป็นไปตามท่อนแรกของเพลง “หน้าด้านหน้าทน” ดังที่ไวพจน์ได้ร้องเอาไว้

มีผัวแล้วพี่ก็ยังรัก แม้พี่อกหักรักษาไม่หาย  จะคอยทูนหัวจนผัวเธอตาย บอกอย่างไม่อายหน้าด้านหน้าทน

ช่างบังเอิญแท้ที่เพลงลูกทุ่งไทยผลงานประพันธ์โดยจิ๋ว พิจิตร ครูเพลงเจ้าของฉายาปรมาจารย์เพลงแหล่ และขับร้องโดยราชาเพลงแหล่อย่างไวพจน์ จะมีเนื้อหาพ้องเข้ากับนวนิยายของนักเขียนชาวโคลอมเบียพอดิบพอดี  แน่นอนว่า มาร์เกซคงไม่รู้จักครูจิ๋ว  ไม่เคยฟังเสียงไวพจน์ และคงไม่เคยยินเพลงนี้ ทว่าตัวละครของเขากลับร้องเพลงนี้ไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว

ความรักที่โฟลเรนติโนมีต่อเฟร์มีนา ดาซาไม่มีวันเสื่อมคลายลงเลย นับตั้งแต่เขาพบเธอครั้งแรกในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ไปส่งโทรเลขให้กับพ่อของเธอ ตอนนั้น เฟร์มีนากำลังอยู่ในห้องเย็บผ้า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความรัก แม้ว่าในเวลาต่อมา เฟร์มีนาจะแต่งงานกับนายแพทย์คูเบนัล อูร์บีโนแล้ว  แต่โฟลเรนติโนก็ยังเฝ้ารอคอยที่จะได้ครองรักกับนางในดวงใจเป็นเวลายาวนานถึงห้าทศวรรษ จวบจนเมื่อสามีของเฟร์มีนาถึงแก่ความตาย  เขาจึงไปทวงสิทธิ์ต่อเธอ  ทั้งที่ตอนนั้นทั้งสองคนจะอยู่ในวัยชราภาพแล้ว กล่าวคือ เขาอายุเจ็ดสิบหก ส่วนเธออายุเจ็ดสิบสอง

นี่คือพฤติกรรมที่โฟลเรนติโนอาจจะร้องเพลงแบบไวพจน์ว่า บอกอย่างไม่อายหน้าด้านหน้าทน

ย้อนกลับไปในตอนที่โฟลเรนติโนรู้ข่าวว่าเฟร์มีนากำลังจะแต่งงานกับนายแพทย์หนุ่ม เขาสิ้นหวังจนแทบแดดิ้น ไม่ยอมกิน ไม่ยอมหลับยอมนอน เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ละเมอเพ้อคลั่งทั้งคืน ถึงแม้ว่าตรันซิโต แม่ของเขาจะใช้กลอุบายต่างๆเพื่อปลอบใจ แต่กลับไม่เป็นผลเลยสักนิด อาการดังกล่าวนี่แหละ ที่ตรันซิโตถึงกับบอกว่าเป็นอาการแบบเดียวกับผู้ติดเชื้ออหิวาต์ และลูกชายของเธอกำลังทรุดโทรมด้วยอหิวาตกโรคทางความรัก

ขณะที่หัวใจของเฟอร์มีน่ากลับไม่เหลือเยื่อใยต่อพนักงานโทรเลขหนุ่มอีกแล้ว เธอพร้อมที่จะกลายเป็นเจ้าสาวของนายแพทย์หนุ่มผู้มีเกียรติอย่างยินดี ความผิดหวังเจียนตายของโฟลเรนติโนดูเหมือนจะสอดคล้องกับเพลงของไวพจน์ท่อนที่ว่า

เมื่อวัน ที่น้องแต่งงาน ขันหมากแห่ผ่าน ไปทั่วถนน ได้ยินเสียงโห่  แหมพี่แทบดิ้น ด้วยความบ้าบิ่น อยากจะกินรถยนต์

ถึงแม้ว่าโฟลเรนติโนจะมิได้บ้าบิ่นถึงขั้นอยากจะกินรถยนต์ เพราะเขาไม่ยอมกินอะไรเลย แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า โฟลเรนติโนแทบแดดิ้นด้วยความบ้ารักอย่างทุกข์ทรมาน เพลงไวพจน์เล่าถึงความทุกข์ทรมานจากความอกหักด้วยการกล่าวเกินจริง พร้อมสอดแทรกอารมณ์ขัน ทว่าสำหรับฟลอเรนติโนแล้ว นี่คือความทุกข์ที่ขำไม่ออกสักนิด

พี่บ้า มาตั้งเจ็ดวัน จะคิดฆ่าฟัน ผู้หญิงทุกคน เลยนึกขึ้นได้ ว่าไม่สนุก ฆ่าคนติดคุกถึงจะทุกข์ก็ต้องทน

พิษรักย่อมทำให้โฟลเรนติโนเป็นบ้าเกินกว่าเจ็ดวัน เพราะเขากลายเป็นคนบ้ารักไปยาวนานถึงเกือบสองหมื่นวันเลยทีเดียว ดังความในนวนิยายว่า

โฟลเรนตีโน อารีซานั้น ไม่เคยหยุดคิดถึงเธอแม้แต่ชั่ววินาที นับตั้งแต่เฟร์มีนา ดาซา สลัดรักเขาหลังจากห้วงรักอันยาวนานปั่นป่วนเมื่อห้าสิบเอ็ดปีเก้าเดือนกับสี่วันที่ผ่านมา เขาไม่จำเป็นต้องจดบันทึกหรือขีดเส้นนับวันไว้บนผนังห้อง เพราะไม่เคยมีสักวันที่ไม่มีบางอย่างมากระตุ้นเตือนให้เขานึกถึงเธอ (น.71)

เพียงแต่โฟลเรนติโนไม่ได้คิดจะฆ่าผู้หญิงทุกคนเช่นเดียวกับในเพลงไวพจน์  แต่เขากลับคิดที่จะ ‘ฟัน’ ผู้หญิงทุกคน ความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อตรันซิโต ผู้เป็นแม่อ้อนวอนเจ้าของบริษัทเดินเรือซึ่งเป็นอาของเขาให้รับพนักงานโทรเลขหนุ่มเข้าทำงานตำแหน่งอะไรก็ได้ในเรือที่จะต้องเดินทางไปยังดินแดนห่างไกลจนไปรษณีย์และโทรเลขไปไม่ถึง ทั้งนี้เพื่อบำบัดความทุกข์เศร้าจากพิษรักให้กับลูกชาย ผู้เป็นอามิได้รับหลานชายเข้าทำงานตามคำขอ แต่กลับหางานในตำแหน่งพนักงานโทรเลขของอีกเมืองที่ต้องออกเดินทางไกลไปกับเรือเป็นเวลาถึงยี่สิบวัน และการเดินทางคราวนี้  โฟลเรนติโนต้องสูญเสียพรหมจรรย์ครั้งแรกท่ามกลางความมืดมิด โดยที่ไม่รู้แน่ว่าหญิงใดเป็นผู้เปิดซิงเขา  นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญทางมุมมองความรักและเรื่องเพศของพนักงานโทรเลขหนุ่ม ถึงแม้ว่าตอนแรกเขาตั้งใจจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ให้เฟร์มีนาเพียงผู้เดียว  เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั่นคือ

คืนหนึ่งเมื่อเขาเลิกอ่านหนังสือแต่หัววันและกำลังเดินใจลอยไปยังห้องสุขา ประตูบานหนึ่งก็เปิดออกตอนที่เขาผ่านห้องอาหาร และมือที่เหมือนกรงเล็บเหยี่ยวข้างหนึ่งก็คว้าแขนเสื้อเขาฉุดกระชากเข้าไปในห้อง ในความมืดเขาแทบไม่เห็นร่างเปล่าเปลือยของสาวคนนั้น รางอันไร้อายุของเธอชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อร้อนผ่าว และลมหายใจหนักหน่วง ร่างนั้นผลักให้เขาลงไปนอนหงายบนเตียงและถอดเข็มขัดเขา ถอดกระดุมกางเกงของเขาและนั่งคร่อมเขาราวกับขี่ม้า แล้วก็พรากอาพรหมจรรย์ของเขาไปอย่างหมดศักดิ์ศรี ในท่ามกลางความปรารถนาอันปวดร้าวนั้น ทั้งคู่ตกลงไปในห้วงอวกาศว่างเปล่าไร้ก้นบึ้งซึ่งมีกลิ่นเค็มของหนองน้ำที่เต็มไปด้วยกุ้ง แล้วเธอก็นอนทาบบนตัวเขาอยู่ครุ่หนึ่งพลางหอบหายใจก่อนที่จะหายไปในความมืด

ไสหัวไปซะแล้วก็ลืมให้หมดเธอพูด เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นนะ” (น.180)

เจอะเข้าอย่างนี้นะรึ จะให้ลืมได้โดยง่าย   โฟลเรนติโน ไม่เพียงแต่ร้องเพลงไม่ลืม ไม่ลืม ไม่ลืมแบบสุรพล สมบัติเจริญ หากเขายังเกิดความกระเหี้ยนกระหือรือยิ่งขึ้น ด้วยเพราะ ในชั่วขณะสุดยอดแห่งความสุขนั้น เขาได้ประสบกับความจริงบางอย่างที่ตัวเองไม่อาจเชื่อ เขาปฏิเสธที่จะยอมรับมันด้วยซ้ำ นั่นก็คือ  ความรักมายาที่เขามีให้แก่เฟร์มีนา ดาซานั้นสามารถแทนที่ด้วยโลกีย์อันเร่าร้อนได้ ดังนั้น โฟลเรนติโนจึงมุ่งมั่นพยายามที่จะล่วงรู้ให้ได้ว่าแม่สาวนางใดที่ทำให้เขาต้องเสียความหนุ่มคราวแรก  หากปรากฏว่า ในห้องมืดมิดนั้นกลับมีหญิงสาวพักอยู่ถึงสามคน  อย่างไรก็ตาม จากความพยายามสังเกตพวกเธอ  โฟลเรนติโนค่อนข้างเชื่อว่า แม่สาวที่ชักนำชายหนุ่มผู้มักจะเขินอายพวกผู้หญิงเข้าสู่กามวิถีน่าจะเป็นแม่สาวที่ถูกเรียกขานว่า “โรซัลบา”

เมื่อโฟลเรนติโนกลับคืนสู่บ้านเกิดในช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายเสรีนิยม  ตอนนั้น เฟร์มีน่าเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับสามีของเธอในยุโรป ช่วงนี้เองที่เฟร์มีนาเริ่มเลือนหายไปจากความนึกของเขา มันถูกแทนด้วยภาพนึกถึงโรซัลบา จวบจนเมื่อแม่ม่ายสาวนาซาเรต ผู้สูญเสียสามีในสงครามแวะมาขอพักพิงที่บ้านของตรันซีโตซึ่งเป็นใจที่จะให้ม่ายสาววัยยี่สิบแปดนอนร่วมห้องกับลูกชายของตน  ท่ามกลางเสียงประทุของอาวุธในสงครามราวจะปลุกเร้าเพลิงกามในตัวของโฟลเรนติโนให้ลุกโชน เขาเสพสวาทกับแม่ม่ายนาซาเรตเพื่อความสุขสมแห่งเพศรสอันลี้ลับหลายครั้งคราว เธอกลายเป็นคนแรกที่เขาจดชื่อลงในสมุดบันทึก นับแต่นั้นเป็นต้นมา รายชื่อหญิงสาวที่โฟลเรนติโนหลับนอนด้วยตลอดครึ่งศตวรรษเท่าที่เขานับได้มีจำนวนถึง 622 คนใน 25 เล่มสมุด นี่คือสิ่งที่ถูกนำมาบำบัดเยียวยาความไม่สมหวังในรักของเขาที่มีต่อเฟร์มีนา โดยความสัมพันธ์กับหญิงสาวเหล่านั้นคือลักษณะของการเสพสมจนอิ่มแล้วละทิ้งไปโดยไม่แยแสต่อผลลัพธ์  สิ่งนี้ดำเนินไปอย่างหมื่นเหม่ต่อศีลธรรมอันดี และการล่วงละเมิดที่ขัดต่อกฎหมาย  โฟลเรนติโนเปลี่ยนจากชายเขินอายที่แอบหลงรักผู้หญิงมีผัวแล้วมาเป็นการลอบสังวาสกับเมียของคนอื่นแทน อย่างไรก็ตาม มีหญิงสาวบางคนที่ทำให้เขาเผลอรู้สึกว่ากำลังตกหลุมรักเธอเช่นกัน อย่างกรณีของโอลิมเปีย ซูเลตา (Olimpia Zuleta) และ อเมริกา บีกูญ่า (América Vicuña) เป็นต้น หากกรณีของหญิงสาวทั้งสองนั้นกลับกลายเป็นโศกนาฎกรรม เมื่อโฟลเรนติโนเขียนอักษรแสดงความเป็นเจ้าของบนลานท้องของโอลิมเปีย จนทำให้เธอถูกสามีฆ่าตายด้วยความหึงหวง หรือการที่เด็กสาววัยสิบสี่ที่ยอมปรนเปรอทางเพศให้เขาในวัยชราอย่างอเมริกาที่ฆ่าตัวตายเมื่อรู้ว่าโฟลเรนติโนจะใช้ชีวิตร่วมกับเฟร์มีนาในบั้นปลายชีวิต

จะเห็นได้ว่า แม้โฟลเรนติโนจะไม่ได้คิดฆ่าผู้หญิงทุกคน ภายหลังอกหักจากเฟร์มีนานางในดวงใจ ทว่าการกระทำอันหมิ่นเหม่ศีลธรรมของเขาต่อหญิงสาวตลอดห้าทศวรรษกลับเป็นการฆ่าผู้หญิงหลายคนทางอ้อมเช่นกัน

 ผัวเธอตาย เมื่อไรบอกด้วย แล้วพี่จะช่วยเลี้ยงลูกทุกคน ความบ้าของพี่ไม่มีกำหนด ถ้าสงสารไวพจน์ แล้วพาไปรด น้ำมนต์

โฟลเรนติโนเฝ้าลอบมองเสมอว่า เมื่อไหร่มัจจุราชจะเกี้ยวพาราสีนายแพทย์คูเบนัลไปได้สำเร็จสักที  หากเมื่อเขายิ่งด้อมๆมองๆกลับพบว่า คนที่มีสังขารร่วงโรยลงไปทุกวันกลายเป็นเฟร์มีนาเสียเอง  ขณะที่นายแพทย์สามีเธอกลับดูแข็งแรง และไม่มีทีท่าอ่อนเปลี้ยเลย ด้วยความกังวลยิ่ง เจ้าของบริษัทเดินเรือแม่น้ำแห่งแคริบเบียนเกรงว่า นางในดวงใจของเขาจะตายเสียก่อนสามีของเธอ

แต่แล้ววันหนึ่งก็มาถึง....

ในขณะกำลังกกกอดแม่หนูอเมริกาวัยสิบสี่ เสียงระฆังได้แจ้งข่าวบางอย่าง ความตายของนายแพทย์คูเบนัลทำให้โฟลเรนติโนมีความยินดียิ่ง  เขารีบไปหาเฟร์มีนาที่บ้านของเธอเพื่อทวงสิทธิ์  แม้จะถูกเธอต่อว่าในหนแรก แต่เจ้าของบริษัทเดินเรือชรายังไม่ลดละความพยายาม  เขาหมั่นไปขอพบนางในดวงใจบ่อยครั้ง  จนลูกของเฟร์มีนาเริ่มไม่สบอารมณ์ เนื่องจากความต้องการของโฟลเรนติโนมิใช่เพียงเพื่อนคู่คิดชีวิตเฒ่าของเฟร์มีนา หากเป็นความปรารถนาต่อชีวิตทางเพศที่เขาและเธอไม่เคยมีร่วมกันในวัยหนุ่มสาวต่างหาก สิ่งนี้ย่อมถูกเดียดฉันท์ด้วยสายตาของกรอบสังคมละตินอเมริกา  อย่างไรก็ตาม ความบ้าของโฟลเรนติโนช่างไม่มีกำหนดเสียจริง เขาเพียรพยายามโน้มน้าวใจเฟร์มีนาเกือบสองปี จนเธอเริ่มสงสารเขาในที่สุด เฟร์มีนามิได้พาโฟลเรนติโนไปรดน้ำมนต์แบบในเพลงไวพจน์  หากเป็นการที่เธอยอมลงเรือของบริษัทเดินเรือแม่น้ำแห่งแคริบเบียนไปด้วยกันกับเขา เรือที่ชักธงเหลืองขึ้นโบกสะบัดเพื่อแสดงสัญลักษณ์การระบาดของอหิวาตกโรค

จากเรื่องราวของโฟลเรนติโน อารีซากับเฟร์มีนา ดาซาตั้งแต่ต้นเรื่องจนกระทั่งจบลงนั้น จะเห็นได้ว่า กรณีดังกล่าวแสดงถึงความรักที่หมิ่นเหม่ต่อหลักคุณธรรมอันดี ขัดต่อกฎหมายซึ่งเป็นกรอบทางสังคมละตินอเมริกา   กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซพยายามบอกผ่านนวนิยายของเขาว่า บางทีความรักก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในกรอบแห่งคุณธรรมเสมอไป  บทบาททางความรักและชีวิตทางเพศของตัวละครอย่างโฟลเรนติล้วนแล้วแต่ไม่ชอบต่อศีลธรรมอันดีทั้งสิ้น ทั้งความรักไม่เสื่อมคลายที่มีต่อภรรยาคนอื่นอย่างเฟร์มีนา ชีวิตทางเพศที่ล่วงละเมิดผู้หญิงมากมันจนนำไปสู่โศกนาฏกรรม รวมถึงในตอนท้ายสุดคือ ชีวิตทางเพศของชายหญิงในวัยชรา แม้ว่าสิ่งนี้เป็นอะไรที่ขัดต่อกรอบสังคมของละตินอเมริกามากทีเดียว  แต่ในที่สุดมาร์เกซได้ตอกย้ำในนวนิยายว่า แท้แล้ว ชีวิตทางเพศของวัยชรามิใช่เรื่องน่ารังเกียจ ด้วยการเขียนถึงฉากร่วมรักระหว่างโฟลเรนติโนกับเฟร์มีนาในวัยเจ็ดสิบกว่า ขณะทั้งสองอยู่ในเรือที่ล่องกลางแม่น้ำมักดาลีนา(Magdalena)  ถึงแม้ว่าสภาพสังขารของร่างกายจะมิอาจทำให้สุขสมเฉกเช่นวัยหนุ่มสาว แต่ทั้งสองก็อิ่มเอมใจในการร่วมรักครั้งนี้  เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับความรักในเพลง “หน้าด้านหน้าทน” แล้ว จะพบว่า ทั้งนวนิยายและเพลงมีลักษณะของความรักที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในกรณีเพลงของไวพจน์ เพชรสุพรรณพยายามอธิบายโดยแฝงอารมณ์ขันมากกว่าจะให้เห็นเป็นเรื่องจริงจัง  ทั้งนี้เป็นอาจด้วยบริบทของสังคมไทยที่ต้องเติมความบ้าลงในเรื่องแสลงดังกล่าวเพื่อกลบเกลื่อนความจริง ขณะที่สำหรับนวนิยายของมาร์เกซแล้ว นี่คือความบ้าที่จะเปิดเปลือยความจริงของมนุษย์ โดยพิสูจน์ว่าอำนาจของความรักมีพลานุภาพเหนือการจำกัดไว้ภายใต้ศีลธรรม ดังที่ปรากฏใน Love in the Time of Cholera

พิมพ์ครั้งแรก: วารสารปากไก่ ฉบับนักเขียนรางวัลนราธิป 2557



[1] ตัวละครโฟลเรนติโน อารีซานั้น   มาร์เกซถ่ายทอดลักษณะมาจากพ่อของเขาซึ่งเป็นพนักงานโทรเลข  ทั้งยังชอบสีไวโอลินเหมือนกัน   ส่วนเรื่องราวความรักระหว่างโฟลเรนติโนกับเฟร์มีนาก็มาจากเรื่องราวระหว่างพ่อกับแม่ของเขา  ในวัยหนุ่มสาวทั้งสองอาศัยอยู่ที่เมืองคาร์ตาเฮนา (Cartagena) และพบรักกัน แต่กลับถูกตาของมาร์เกซกีดกัน  โดยพรากแม่หนีจากพ่อไปสู่ดินแดนแสนไกล  อันวิธีการที่ปรากฏในนวนิยายเช่นกัน

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: