เครือข่ายประชากรข้ามชาติถก ตีแผ่ส่งแรงงานท้องกลับบ้าน

8 ก.ค. 2555


 

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant working group) และองค์กรภาคีเครือข่าย จัดเสวนาเรื่อง “นโยบายส่งกลับแรงงานหญิงข้ามชาติท้องกลับประเทศ กับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย : หรือกระทรวงแรงงานเกาไม่ถูกที่คัน” จัดขึ้นเนื่องจากนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจะดำเนินนโยบายดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์เด็กในประเทศไทย

 

น.ส.ทัตติยา ลิขิตวงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) กล่าวถึงนโยบายส่งแรงงานหญิงข้ามชาติท้องกลับประเทศ ซึ่งเป็นแนวคิดของรมว.แรงงานว่า ถือเป็นความเจ็บปวดและส่งผลกระทบตามมาอีกหลายประเด็น คือ  1.ส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัว และเกิดปัจจัยเสี่ยงเรื่องการข้ามไปข้ามมาของแรงงานข้ามชาติ 2.ทำให้สถิติการทำแท้งเพิ่มสูงขึ้น เพราะเมื่อแรงงานรู้ว่าท้อง 3 เดือน และจะถูกส่งกลับ จึงถูกบีบทางเลือกให้ต้องทำแท้ง 3.เด็กอ่อนจะต้องถูกทิ้งอยู่ในประเทศต้นทาง และถูกเลี้ยงดูตามสภาพ สุดท้ายจะวนเวียนกลับมาเป็นแรงงานนอกระบบ นอกจากนี้นโยบายดังกล่าว ยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายในประเทศ ทั้งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ที่มุ่งหวังสร้างมาตรฐานในการเลี้ยงดูเด็กให้มีคุณภาพ ดังนั้นแม้นโยบายดังกล่าวจะมีเจตนาดี และมุ่งหวังแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ แต่คงต้องทบทวนว่าแก้ถูกจุดหรือไม่ หรือในทางกลับกันจะเพิ่มประเด็นปัญหาหรือไม่

 

       “ปัจจุบันมีบางกระทรวงก็มีนโยบายเชิงบวกที่ดี เช่น กระทรวงศึกษาธิการ จะเปิดโอกาสให้แรงงานต่างชาติส่งลูกหลานเข้าเรียนในสถานศึกษาได้ ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์จากต้นทาง แต่สำหรับกระทรวงแรงงานเอง คนที่ทำงานด้านนี้หลายฝ่ายไม่เห็นเหตุผล หรือหนทางที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้จริง แต่กลับกันจะเพิ่มปัญหาอาชญากรข้ามชาติจากการค้ามนุษย์ คือทำให้มีกลุ่มคนใช้แสวงหาประโยชน์ได้มากขึ้น นอกจากนี้คนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่ประเทศไทย แต่จะเป็นกลุ่มนายจ้าง เพราะจะได้โอกาสที่จะเลิกจ้างแรงงานหญิงตั้งครรค์ หรือบังคับให้แรงงานหญิงตัดสินใจทำแท้ง เพื่อให้สามารถทำงานได้ต่อ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกรูปแบบหนึ่ง”

 

น.ส.ทัตติยากล่าวต่อว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับประเทศที่มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยให้ไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามอง ระดับ 2.5 (Tier 2 Watch list) เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน คืออยู่ในระหว่างการเฝ้าระวังและติดตามว่า สามารถแก้ปัญหาได้ดีหรือไม่ แต่หากยังไม่มีแนวทางอาจมีแนวโน้มถูกปรับเป็นระดับ 3 ซึ่งถือว่าแย่ที่สุด และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม  ดังนั้นอยากเสนอทางแก้คือ ต้องดำเนินการอย่างบูรณาการ ร่วมมือกันระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้องและประเทศต้นทาง รวมทั้งหาแนวทางการจัดระบบที่ดี เพื่อให้เช็คจำนวนแรงงานได้ หรือเพิ่มมาตรการ เช่น อนุญาตให้แรงงานกลับไปคลอดที่บ้าน แต่จะต้องสามารถนำเด็กกลับมาด้วยได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนที่จะริ่เริ่มนโยบายดังกล่าว รมว.แรงงานต้องทบทวนให้ดี รวมทั้งควรหามาตรการระยะยาวและยั่งยืน ในการคุ้มครองสิทธิ แก้ปัญหาและมองว่า แรงงานต่างชาติคือมนุษย์เช่นเดียวกับเรา

 

ด้านน.ส.ทัศนัย ขันตยาภรณ์ ตัวแทนจากองค์กร (PATH) ที่ทำงานด้านสาธารณสุขของผู้หญิงและเด็ก กล่าวว่า เมื่อเห็นนโยบายนี้ออกมา ทำให้กังวลและเริ่มวิเคราะห์ตัวเลขเด็กที่จะต้องถูกส่งกลับบ้าน ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ปัญหาที่วนเวียน ทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ ปัญหาสิทธิมนุษยชน และเรื่องแรงงาน  ซึ่งล่าสุดเริ่มมีสัญญาณที่ดีจากรมว.แรงงาน ที่เริ่มฟังเสียงสะท้อนแล้ว โดยส่งสัญญาณที่จะทบทวนมาตรการดังกล่าว โดยใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือน และจะดึงกลุ่มเอ็นจีโอเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

 

               “ไม่อยากให้รมว.แรงงาน เห็นเรื่องการปลดล็อคการค้ามนุษย์เป็นเพียงแฟร์ชั่น หรือเป็นเพียงความพยายามในสร้างผลงาน และอยากให้ดูบริบทโดยรวม และต้องไม่ใช่แต่ละกระทรวงจะพยายามจะออกนโยบายเอง เพราะในข้อเท็จจริงทุกกระทรวงมีส่วนแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น”

 

น.ส.ทัศนัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้อยากให้คิดถึงประเด็นด้านสาธารณสุข เพราะวิถีชีวิตแรงงานข้ามชาติมีปัจจัยจูงใจที่อยากจะท้องและคลอดในประเทศไทย เพราะมีความปลอดภัยสูงกว่า รวมทั้งเมื่อท้องก็สามารถทำงานด้วยได้ สรุปคือหากนโยบายตรงข้ามกับวิถีชีวิต ก็คงไม่มีประโยชน์หากจะบังคับใช้ และท้ายที่สุดจะเป็นการเพิ่มภาระและช่องว่าง ในเรื่องกระบวนการควบคุมและกฎหมายด้วย นอกจากนี้ข้อกังวลอีกประเด็นคือ หากนโยบายมีผลบังคับใช้ อาจส่งต่อไปยังกระทรวงสาธารณสุขไม่อนุญาตให้แรงงานหญิงต่างชาติฝากครรภ์ ซึ่งจะมีปัญหาตามมาคือเด็กที่เกิดมาติดเชื้อ สุขภาพไม่ดีและสุดท้ายประเทศจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข ทั้งนี้อยากให้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นหลัก เพราะการพัฒนาคนเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศต่อไป

 

นายอดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวว่า โดยบริบทของแรงงานข้ามชาติ ไม่ใช่เพียงการเข้ามาเป็นแรงงานเพียงอย่างเดียว ในระยะหลังพบว่า เป็นการข้ามวัฒนธรรมโดยการแต่งงาน เช่น คนไทยแต่งงานกับคนชาติอื่น ดังนั้นนโยบายการส่งแรงงานข้ามชาติท้องกลับประเทศ อาจจะเป็นการส่งให้คนไทยกลับประเทศอื่นแบบผิดกฎหมาย นอกจากนี้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการคัดกรองยังมีปัญหา ไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยปีที่ผ่านมานำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้เพียงไม่กี่คดี  และหลายครั้งเจ้าหน้าที่รัฐเลือกใช้กระบวนการไกล่เกลี่ย ให้ไทยยังไม่หลุดออกจากกระบวนการเฝ้าระวังจากประเทศคู่ค้า ขณะเดียวกันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ ยังไม่มีมิติของการคุ้มครอง คือเราคิดแต่จะเอาคนมาทำงาน แต่ลืมให้ความคุ้มครอง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อแรงงานข้ามชาติและเป็นปัจจัยหลักของกระบวนการค้ามนุษย์

 

                         “อยากเสนอให้รมว.แรงงานเปิดพื้นที่ให้เอ็นจีโอเข้าไปนั่งในคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา  เพราะกลุ่มเอ็นจีโอมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และจะร่วมแก้ปัญหาได้ดี โดยข้อเสนอเบื้องต้นคือ อยากให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าว และสร้างกลไกการคุ้มครองแรงงานให้ชัด เช่น ต้องทำให้กระบวนการบังคับใช้จะต้องเกิดขึ้นอย่างจริงจัง  แก้ปัญหาเรื่องค่าจ้างไม่เป็นธรรม มีมาตรการอย่างเร่งด่วนเรื่องการยึดเอกสารประจำตัว และการดูแลคุ้มครองสิทธิแรงงาน อีกทั้งควรรณรงค์เรื่องการตั้งศูนย์คุ้มครองเด็กในอุตสาหกรรมแรงงาน” นายอดิศรกล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ได้จัดทำการรณรงค์เพื่อให้รวม.แรงงานทบทวนนโยบายดังกล่าวผ่านทาง เว็บไซต์ www.change.org ด้วย

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: